เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

งดทำกรรมด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ ความเมตตาของเราต้องเป็นได้ทั้ง คิด พูด และ กระทำ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในแปดเซียนท่านหลันไฉ่เหอ



พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมตตาประทานกล่อมเกลาเวไนย์

หนึ่งในแปดเซียน...ท่านหลันไฉ่เหอ พุทธสถานไท่อิน ดาวคะนอง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2542  

"งดทำกรรมด้วยการงดกินสัตว์ เมื่อสักครู่นี้ท่านได้ฟังหัวข้ออะไร ?...(ความหมายของการทานเจ) คือความหมายของการไม่ทานเนื้อสัตว์ใช่หรือไม่ ?...( ใช่ ) 

        หากเราถามทุกๆ ท่านว่า...ในที่นี้ คนทุกคนล้วนทนไม่ได้ที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเราเห็นเขามีชีวิต ท่านทนได้ไหมที่ต้องเห็นเขาตายไปต่อหน้า ?...(ทนไม่ได้) เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อน ท่านทนได้ไหมที่จะนิ่งเฉยไม่สนใจดูแล ?...(ไม่ได้) แปลว่าทุกคนล้วนมีจิตเมตตา มีจิตโอบอ้อมอารี เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากให้เขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา

แต่ว่าความเมตตาของเรานั้นกลับเป็นเมตตาแค่เพียงคิด หรือ ต้องเป็นได้ทั้ง คิด พูด และกระทำ ตอนนี้เวลาเราเห็นสัตว์ร้อง ในใจเรารู้สึกเป็นอย่างไร ?...(สงสาร) เมื่อตอนเห็นสัตว์มีชีวิตแล้วต้องตายไปต่อหน้า ท่านรู้สึกอย่างไร ? นึกถึงหม้อแกงหรือกระทะร้อนๆ

         มนุษย์เรานั้นเวลาเห็นคนอยู่ด้วยกันเราก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่ เวลาเราเห็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเราตาย เราก็ยังอดสงสารไม่ได้ ใช่หรือไม่ ? หรือแม้สัตว์ตัวนั้นจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงก็ตาม แต่ทำไมกลายเป็นเรารู้สึกอยากกินเขา ทำไมเราไม่เกิดความสงสารให้ต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุด แสดงว่าความสงสารของเราเป็นแค่เพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่งไม่ใช่ของจริงแท้ หรือเป็นเพราะความอยากของเรา ถึงกับฆ่าเขาได้ลง ถึงกับกินเขาได้ลงคอ ความโลภของเราถึงกับประหัตประหารเขาได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ? แปลว่าในใจของเราทุกคนก็ไม่อยากจะมีสิ่งนี้ แต่เพราะว่ากินมาจนติดแล้ว เบียดเบียนจนเคยชินแล้ว อำนาจของความชั่วย่อมเป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์

....เมื่อใดที่มนุษย์กับมนุษย์ลงโทษกันไม่ได้ เมื่อนั้นฟ้าดินจะช่วยจัดการ ....เมื่อใดที่คนกับคนไม่สามารถตัดสินให้เที่ยงธรรมได้ เมื่อนั้นฟ้าดินจะเที่ยงธรรม 

       อย่าเห็นว่าการฆ่ากันเป็นเรื่องที่ไม่มีผลตอบแทน ย่อมมีผลตอบแทน ทำไมเราอยู่กับบางคน เรารักเขา แต่บางคนเราถึงเกลียดเขา นั่นเป็นอำนาจที่เรามองไม่เห็น ใช่หรือไม่ ? ทำไมคนปัจจุบัน จึงใช้การฆ่าสัตว์มาฆ่าคนได้ลงคอ นั่นเป็นเพราะว่าเกิดจากความชั่วที่ก่อตัวเล็กๆ ความชั่วที่ทนไว้เมื่อเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตาย แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ตัวใหญ่ๆที่จะพอกพูนแล้วทำให้ฆ่าเขาลงมือได้ จริงหรือไม่ ?

       ฉะนั้นเวลาเราเกิดเคราะห์ร้าย เคราะห์กรรมที่เราไม่รู้สาเหตุเกิดขึ้นกับเรา เราต้องถามตัวเองว่าได้สร้างกรรมดีมากแค่ไหน เราได้เคยเบียดเบียนคนอื่นบ้างหรือเปล่า ? หากตลอดมาเราได้ทำดี จะไปกลัวอะไรกับกรรม เราย่อมสามารถหลีกหนีได้ แต่ถ้าตนทำชั่วทำอย่างไรก็หลีกหนีไม่ได้"









วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ตั้งปณิธานกินเจ(ชิงโข่ว)แล้ว...จิตใจสะอาดบริสุทธิ์หรือยัง - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขุนพลพิทักษ์ธรรมสถาน ท่านจางเฟยและท่ายเย่เฟย


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมตตาประทานโดย...ขุนพลพิทักษ์ธรรมสถาน ท่านจางเฟยและท่านเย่เฟย

         เรามีคุณสมบัติเพียงพอแล้วหรือยัง ?...เข้าสู่ชั้นประชุมที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ สะเทือนถึงเบื้องฟ้า สนั่นทั่วเมืองพิภพมิใช่ง่าย ลองถามตัวเองดูว่า วันนี้เป็น "หยก" หรือจะเป็น "หิน" หากอยากจะเป็นหยกก็ต้องมุ่งมั่นและตั้งใจตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ตั้งปณิธานกินเจ(ชิงโข่ว)แล้ว จิตใจสะอาดบริสุทธิ์หรือยัง กายใจสำรวมหรือไม่ ความคิดเที่ยงตรงหรือยัง ? ก้าวหน้าแค่ไหนทั้งกายและใจ ลองถามตัวเองว่าการกระทำกับจิตใจสอดคล้องกันอย่างไร สิ่งที่พูดนั้น...ระวัง สิ่งที่คิด...คิดตรงเพียงไรต่อธรรม หากไม่หนักแน่นมั่นคงก็อย่าหวังจะรอดพ้นอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ได้

สิ่งศักดิ์สิทธิ์มิใช่ไม่เมตตา ขอเพียงเวไนย์รักษากฏ รักษาวินัย เคร่งครัดในตัวเอง ความผิดเล็กๆน้อยๆ ก็จะไม่บังเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นก็สามารถแก้ไขได้ทันกาล

ความประพฤติหากยังเลวทรามไม่แก้ไข ต้องแขวนไว้เพียงชื่อผู้บำเพ็ญเท่านั้น จะมองหน้าหรือต้องการใครใจก็จะละอายตลอดกาล จิตใจถึงแม้นหลอกลวงผู้อื่น แต่หลอกลวงฟ้าเบื้องบนไม่ได้ หนำซ้ำตัวเองยังจะต้องหลอกหลอนใจตัวเองไปตลอดกาล

มาถึงขั้นนี้ ทานเจตลอดชีพ แต่จิตใจทานแล้วหรือยัง ปากทาน ทานเข้าไป แต่สิ่งที่พูดออกมาเป็นเช่นไร ตัวเองย่อมรู้อยู่แก่ใจ บำเพ็ญธรรมจะต้องยุติธรรม ตั้งแต่ชั้นล่างจนถึงชั้นสูง ปากว่าทานเจแต่สิ่งที่พูดออกมานั้นกล่าวร้ายต่อธรรมนี้

จงสำนึกแก้ไขแต่วันนี้ยังทัน เบื้องบนฟ้าให้อภัยต่อผู้สำนึกผิดแต่ไม่ให้อภัยแก่ผู้ที่ไม่สำนึกผิดเลย สำนึกแล้วก็ต้องยอมรับปรับปรุงแก้ไขตนให้ดี ไม่ใช่วันนี้สำนึก พรุ่งนี้ก็ทำซ้ำ เช่นนั้นคงจะมีแต่ประตูนรกเท่านั้นที่เปิดรอเราอยู่

อย่าถือว่านี่เป็นการตำหนิดุด่าของเราทั้งสอง มีแต่ความหวังดีต่อเวไนย์ทุกคน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสิ่งที่ตักเตือนจิตใจของเรา หากไม่มีคำเตือนเราอาจจะพลั้งต่อไป ยิ่งทำก็ยิ่งถลำลึกแล้วตอนนั้นจะกลับมากู้มาแก้ไขก็คงสายเกิน

นำจิตใจแห่งฟ้ามานำจิตปุถุชน หากคิดว่ากินเจเพื่อสร้างบารมี หรือกินเพื่อหวังผล คิดผิดเสียแล้ว จงลบความเข้าใจใหม่ หกหมื่นกว่าปีหนี้เวรกรรม ไม่อาจประกันได้ว่าตัวเองจะอยู่รอดถึงวันนี้หรือวันพรุ่งนี้

หากไม่ชนะจิตใจปล่อยปละละเลย ปล่อยโอกาสไม่สำนึกแก้ไข จะกินเจตลอดไปหรือตลอดชีวิตก็ไร้ประโยชน์ ที่สำคัญ "ใจต้องบริสุทธิ์" เข้าใจหรือไ่ม่ ?




วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

บริสุทธิ์กายใจ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระุพุทธจี้กง เมตตาประทานกล่อมเกลาเวไนย์



                                                          ใจเด็ดเดี่ยวยอมสละรสโอชา                เมื่อรู้ว่าชีวิตนี้มีหนี้กรรม
                                                  ผันชีวิตตัดความอยากสร้างบุญนำ                ตรวจตราย้ำซื่อสัตย์ตนจึงพ้นภัย

                                                                                  เราคือ...

                                                          อรหันต์จี้กงสงฆ์วิปลาส           รับบัญชาจาก
                                                 องค์อนุตตรธรรมมารดา                   ลงสู่ธรรมสถาน คารวะต่อหน้า
                                                 องค์มารดาผู้เมตตา                          ถามศิษย์ยา  บริสุทธิ์กายใจ เพียงใด

                                                                                         ฟ้าเมตตาฉุดส่องธรรมแสงรุ่งโรจน์
                                                                              สามภพโปรดสู่วิมุติพ้นทุกข์เข็ญ
                                                                              เหล่าพุทธาทั่วทิศาหวังโลการ่มเย็น
                                                                              ส่งธรรมแทนจิตวิสุทธิ์ขั้นเริ่มฝึก
                                                                                         เมื่อคิดแปรเปลี่ยนแดนแรกค้นใจ
                                                                              ปุถุชนปลุกเมตตาในฤทัยตัดใจยอม
                                                                              ผ่านเลวร้ายมนุษย์สร้างใจงามถนอม
                                                                              จิตหมองฝึกบริสุทธิ์พร้อมกายหนี้กรรมสยบ
                                                                                        ชนล้วนยังร้ายกิเลสลึกซ่อนอำพราง
                                                                              จี้กงนำทางธรรมแอบจุดสว่างบอก
                                                                              ต้องคอยยังยั้งแรงทุ่มเทแฝงลวงหลอก
                                                                              ภายในนอกทั้งแล้วสร้างทดสอบเต็ม
                                                                                       บำเพ็ญนอกในทุกชีวิตกุศลใดสร้าง
                                                                              โลกวางเมื่อหยุดพรากไว้ประคองอยู่
                                                                              ที่มาเสียงสยบลงมั่นเสมอกอบกู้
                                                                              ชีวิตเขาใจปลดปลงรู้สำนึกแห่งจิต
                                                                                       เพื่อนร้องโลกาสนั่นก้องธรรมฝึกเพียรหมั่น
                                                                              สัตว์ผองทั่วยินดีท่านจิตพิชิตเสถียร
                                                                              ธรรมเป็นเลิศชนชนะลุ่มหลงเลิกเบียดเบียน
ุ                                                                              สุดท้ายเพียรบำเพ็ญตนบริสุทธิ์กายใจ

                                                            พระโอวาทซ้อนพระโอวาท  "บริสุทธิ์กายใจ"

                                                   แสงธรรมส่องฉุดโปรดทั่วทิศา          หวังโลกาแปรเปลี่ยนแดนวิสุทธิ์
                                          ขั้นแรกเริ่มค้นเมตตาในมนุษย์                    ฝึกบริสุทธิ์พร้อมกายใจตัดหนี้กรรม
                                          มองจิตลึกกิเลสร้ายยังแอบแฝง                 ทุ่มเทแรงยับยั้งทั้งนอกใน
                                          เพื่อหยุดพรากชีวิตแล้วสร้างกุศลไว้           ทดสอบใจประคองอยู่้มั่นเสมอ
                                          กอบกู้จิตแห่งสำนึกหมั่นฝึกเพียร                ธรรมเสถียรพิชิตจิตลุ่มหลง
                                          เลิกเบียดเบียนชีวิตเขาใจปลดปลง             สยบเสียงร้องสัตว์ผองทั่วโลกา





วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

มหาเมตตาต่อปวงสรรพสัตว์ ครั้งสมัยยังทรงพระเยาว์พระสิทธัตถกุมาร




           วันหนึ่งในฤดูร้อน พญาหงส์สีขาวสะอาดตัวหนึ่ง บินนำฝูงผ่านพระอุทยานของพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ บ่ายหน้าไปทางทิศเหนือสู่ถิ่นพำนัก ณ ยอดเขาหิมาลัยอันไกลโพ้น ความขาวของฝูงหงส์ซึ่งทาบอยู่บนท้องฟ้าสีคราม ดูประหนึ่งทางช้างเผือก ยังความนิยมยินดีให้แก่ผู้ที่ได้พบเห็นยิ่งนัก แต่สำหรับพระเทวทัตกุมารมิได้เป็นเช่นนั้น น้ำพระทัยของเจ้าชายองค์น้อยนี้ เป็นพาลเหี้ยมโหดมุ่งแต่จะทำลายเป็นที่ตั้ง พอทอดพระเนตรเห็นฝูงหงส์ เธอก็ทรงยกลูกศรขึ้นพาดสาย น้าวคันธนูจนเต็มแรงยิงออกไปทันที ลูกศรนั้นวิ่งขึ้นไปถูกพญาหงส์สีขาว ซึ่งกำลังบินร่อนร่าเริงใจอยู่บนอากาศ ถลาตกลงสู่เบื้องล่างทันที

ขณะนั้นพระสิทธัตถกุมาร(องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี) พระโอรสแห่งพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ กำลังทรงสำราญอยู่ในพระอุทยานนั้นด้วย ทรงทอดพระเนตรเห็นพญาหงส์ ร่วงตกลงมาในเขตพระอุทยาน พระองค์จึงละเสียจากการเล่นโดยสิ้นเชิง แล้วรีบเสด็จออกไปค้นหา ในที่สุดก็พบนกที่น่าสงสารนั้นกำลังดิ้นรน กระเสือกกระสนด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น โดยที่ปีกข้างหนึ่งของมัน มีลูกศรเสียบทะลุคาอยู่ เจ้าชายองค์น้อยบังเกิดความเวทนายิ่งนัก ทรงอุ้มหงส์นั้นขึ้นจากพื้น ประคองกอดแต่เบาๆ มิให้วิหคเคราะห์ร้ายตื่นตกใจ ทรงชักลูกศรที่เสียบอยู่บนปีกนั้นออกเสีย แล้วทรงนำใบไม้ที่มีรสเย็น มาปิดบาดแผลเพื่อให้โลหิตหยุดไหล

          เจ้าชายน้อยทรงรำพึงถึงความทุกข์ ของพญาหงส์ อันมีกายปรากฏเป็นบาดแผลใหญ่แล้ว ก็ทรงทอดถอนพระหฤทัย พระกุมารนั้นแม้จะมีพระชนมายุเพียง ๘ พระชันษา ยังทรงพระเยาว์นัก ชอบที่จะแสวงสุขอย่างเด็กอื่นๆ แต่พระองค์กลับคิดใคร่ครวญ ถึงความเจ็บปวดของพญาหงส์ อันความทุกข์สำแดงอยู่ในเวลานั้น... จึงทรงปลอบนกด้วยพระวาจาอ่อนหวาน และอุ้มกอดมันไว้กับทรวงอก ให้อบอุ่น ทั้งลูบขนปลอบโยนให้คลายความหวาดกลัว

เมื่อพระเทวทัต ผู้เป็นพระญาติเรียงพี่เรียงน้อง ของพระสิทธัตถกุมาร เสด็จมาพบเข้าก็ทวงคืน ทรงพยายามจะแย่งนกนั้นไปเสียให้ได้ โดยอ้างว่า ตนเป็นเจ้าของนกตัวนั้น เพราะเป็นผู้ยิงมันตกลงมาได้ พระสิทธัตถกุมารทรงปฏิเสธ ที่จะมอบนกให้โดยตรัสว่า

"ถ้านกตายมันจึงจะเป็นของผู้ยิง แต่เมื่อมันยังมีชีวิตอยู่ ควรจะเป็นของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือมัน เรามิเคยมีใจที่จะมอบนกตัวนี้ ให้กับใครทั้งสิ้นตราบใดที่มันยังคงบาดเจ็บอยู่"

ต่างฝ่ายก็ไม่ยินยอมต่อกัน ในที่สุดเจ้าชายสิทธัตถะจึงเสนอขึ้นว่า "ข้อพิพาทนี้ ควรจักต้องนำไปให้ บรรดานักปราชญ์ของแผ่นดิน พิพากษาตัดสินชี้ขาดในที่ประชุม" เจ้าชายเทวทัตก็เห็นด้วย

          ณ ที่ประชุมนักปราชญ์แห่งนครกบิลพัสดุ์ ในวันนั้นได้ยกกรณีพิพาท เรื่องหงส์ตัวนี้ขึ้นมาพิจารณา มีการถกเถียงกันเป็นอย่างมาก ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า พระเทวทัตควรเป็นเจ้าของนก เพราะเป็นผู้ยิงมันตกลงมาได้ อีกฝ่ายหนึ่ง มีความเห็นว่า นกควรเป็นของเจ้าชายสิทธัตถะ เพราะเป็นผู้พบมันก่อน และได้ช่วยชีวิตมันเอาไว้ เมื่อมีผู้แสดงความคิดเห็นแตกแยกขัดแย้งกันดังนี้ การประชุมก็ไม่เป็นที่ยุติลงได้

จนในที่สุดมีนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักพบเห็นมาก่อน ได้ก้าวออกมาและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดัง ท่ามกลางที่ประชุมนั้นว่า...

"ในโลกนี้ชีวิตเป็นของล้ำค่ายิ่ง ไม่ว่าใครก็ต่างรัก และหวงแหนชีวิตตน ผู้ที่ช่วยเหลือสัตว์ชื่อว่า เป็นผู้ให้ชีวิต แต่ผู้ที่ทำลายชีวิตสัตว์ ให้ดับล่วงไป ได้ชื่อว่า เป็นผู้เข่นฆ่า ผู้ใดกรุณาต่อสัตว์ เป็นผู้ช่วยเหลือสัตว์ บุคคลนั้นจึงสมควรเป็นเจ้าของ ดังนั้นขอให้นกตัวนี้ จงเป็นของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ที่ช่วยชีวิตมันไว้เถิด" 

ทุกคนในที่ประชุมต่างเห็นด้วย กับถ้อยคำอันมีเหตุผลเที่ยงธรรม ของนักปราชญ์ผู้นั้น จึงตัดสินให้เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นผู้รับเอาหงส์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงพยายามช่วยชีวิตนั้นไป

           หลังจากนั้น พระกุมารน้อยทรงเอาพระทัยใส่ ดูแลนกนั้นอย่างเอื้ออารีที่สุด จนกระทั่งบาดแผลของมันหายสนิท มีกำลังวังชาฟื้นคืนดีแล้ว พระองค์ก็ทรงปล่อยมัน ให้บินกลับไปอยู่รวมฝูง กับพวกพ้องของมัน ในสระกลางป่าลึกด้วยความผาสุกสืบไป พระสิทธัตถกุมารองค์น้อยนี้แหละ ในกาลต่อมาคือ พระบรมศาสดาศากยมุนีพุทธเจ้า ผู้ประกาศศาสนาพุทธ ด้วยหลักธรรมแห่งเมตตา ให้บรรดาเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์ เทพยดา และยักษ์มารอสูร ได้ประจักษ์แจ้งในสัทธรรมอันสูงสุด พระปรีชาญาณ และดวงหทัยอันเปี่ยมไปด้วยมหาเมตตาคุณ ได้ฉายแสงปรากฏให้ชนทั้งหลายได้ชื่นชม ตั้งแต่ครั้งกระนั้นเป็นต้นมา

พระเมตตากรุณาต่อปวงสัตว์ เมื่อพระสิทธัตถกุมารเจริญเติบใหญ่ มีพระอนามัยดี มีพระรูปกาย และพระพักตร์งดงาม เป็นที่รักแก่บรรดาผู้ที่ได้ประสบพบเห็น ครั้นถึงวัยเข้าเรียน โดยอาศัยการแนะนำของครูอาจารย์ ผู้เชี่ยวชาญในวิทยาการต่างๆ หลายท่าน เจ้าชายสิทธัตถะก็ได้ศึกษา วิชาความรู้ทุกสาขาได้อย่างรวดเร็ว และดีเยี่ยม จนเป็นที่ฉงนสนเท่ห์ ของทุกคนที่ได้ใกล้ชิด เรื่องใดที่พระองค์จะต้องศึกษา เรื่องนั้นไม่มีความยากลำบาก แก่พระองค์เลย เมื่อทรงได้รับการชี้แนะในศิลปวิชาการใดๆ เพียงครั้งเดียว ก็ทรงจดจำได้ทันทีไม่มีลืม

            แม้เจ้าชายสิทธัตถะ จะทรงเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด ในการศึกษาถึงเพียงนี้ ทั้งทรงเป็นพระโอรส ซึ่งจะได้ครองราชสมบัติ สืบต่อจากพระราชบิดา ในอนาคตก็ตาม พระองค์ไม่ได้ทรงละเลย ที่จะแสดงความเคารพนอบน้อม ในฐานะเป็นศิษย์ต่อครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เพราะทรงระลึกอยู่เสมอว่า โดยอาศัยบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งมวลนี่เอง คนเราจึงได้รับสิ่งมีค่าสูงสุด คือวิชาความรู้ เจ้าชายมีปกติสุภาพเรียบร้อยเป็นนิสัย ทรงประพฤติต่อทุกๆ คน และโดยเฉพาะ ครูบาอาจารย์เป็นพิเศษ ในการแสดงความสุภาพอ่อนโยน เคารพนบนอบ ในฐานะที่ได้รับการอบรม อย่างผู้มีกำเนิดในวรรณะกษัตริย์ พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถ ในเชิงกีฬาอย่างยิ่ง ทรงเป็นนักขี่ม้าที่มีพระทัยเย็น และกล้าหาญ ทั้งเป็นนักขับรถเทียมม้าที่สามารถ และเชี่ยวชาญ ในการแข่งขัน พระองค์เคยชนะคู่แข่ง ที่เก่งฉกาจที่สุด ในแผ่นดินของพระองค์เอง

            แม้กระนั้น เมื่อคราวแข่งขัน เพื่อชิงความเป็นหนึ่ง พระองค์ก็ยังมีพระเมตตากรุณา ต่อม้าที่เคยช่วยให้พระองค์ มีชัยชนะอยู่เสมอๆ โดยทรงยอมให้พระองค์ เป็นฝ่ายแพ้เสียเอง แทนที่จะขับเคี่ยวม้าให้มากเกินกำลังของมัน เพียงเพื่อเห็นแก่ความชนะถ่ายเดียว เจ้าชายสิทธัตถะมิได้ทรงปราณี แต่เฉพาะม้าของพระองค์เท่านั้นก็หาไม่ แม้แต่สัตว์อื่นๆ ทุกชนิด ก็ได้รับความเอื้อเฟื้อ และทรงเมตตากรุณาอย่างเดียวกัน พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่เคยทรงประสบความทุกข์ ความลำบากอย่างใดเลยก็จริง แต่น้ำพระทัยของพระองค์ ก็ยังทรงหยั่งทราบ ถึงจิตใจของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยความเห็นใจว่า สัตว์ทั้งหลาย ย่อมปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน

................................................................................................................................................................................................

ข้อคิดพิจารณาเตือนใจ

     เมื่อเราได้ทราบถึงเรื่องราวในครั้งพุทธกาล ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี ครั้งยังทรงพระเยาว์เจ้าชายสิทธัตถกุมาร กอปรด้วยความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อเหล่าสรรพสัตว์ โพธิจิตอันประเสริฐล้ำยิ่งมิอาจทนเห็นสรรพสัตว์นั้นต้องเป็นทุกข์ทั้งทางกายและจิตใจ เพราะฉะนั้นๆเราๆท่านๆผู้อ่านพึงพินิจพิจารณาถึงหลักแห่งเมตตาธรรม น้อมนำมาปฏิบัติอย่างถึงที่สุดคุณธรรมอันเปี่ยมล้นเหลือเต็มพร้อมในธรรมญาณเดิมของเรานั้นจักพรั่งพรูแลสามารถโอบอุ้มสรรพสิ่งแปรเปลี่ยนโลกนี้ให้วิมุติสุขเป็นเอกภาพสมดั่งมหาปณิธานของพระพุทธาพระโพธิสัตว์อันจักกอบกู้จิตญาณของเหล่าเวไนย์ให้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ทั้งปวง ให้พ้นจากความหลง อันเป็นเมล็ดพันธุ์เกิดภพชาติและตกอยู่ในสังสารวัฏแห่งความทุกข์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราเหล่าเวไนย์พึงน้อมเอาหลักสัจธรรมความดีงามของพระพุทธาพระโพธิสัตว์อันประมาณมิได้นั้นมาดำเนินเถิด ละเว้นการเบียดเบียนชีวิตแลเลือดเนื้อของสรรพชีวิตอันซึ่งแต่เดิมทีจิตญาณของเขาก็ล้วนเวียนเกิดเวียนตายมาจากมนุษย์แลรับกรรมอันได้เคยก่อมาตกสู่เดรัจฉานภูมิ หรือ อบายภูมิอื่นๆ เช่นนี้แล้วพึงเปล่งเมตตาจิต กรุณาอย่างถึงที่สุด งดการเบียดเบียนอันจะสร้างความทุกข์และเกี่ยวกรรมกับธรรมญาณสรรพสัตว์ไม่จบไม่สิ้น ละเว้นทั้งการฆ่าและการกินเลือดเนื้อเขา ซึ่งเป็นหนทางแห่งความเศร้าหมองทั้งต่อตัวเราแลผู้อื่นเทอญ

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

นิทานชาดก...มตกภัตตชาดก - การฆ่าสัตว์เซ่นไหว้บรรพบุรุษ จักยังผลเช่นไร ?



 นิทานชาดก...มตกภัตตชาดก - การฆ่าสัตว์เซ่นไหว้บรรพบุรุษ จักยังผลเช่นไร ?

                                                                                                 ถึงเป็นสัตว์ก็รู้จักรักชีวิต
                                                                                     สู้สุดฤทธิ์หากใครไล่เข่นฆ่า
                                                                                     นึกดังนี้ให้มีจิตคิดเมตตา
                                                                                     ไม่โกรธาทั้งเชือดคอเขาอีกทั้งซื้อเอามากิน

       จะขอยกตัวอย่างนำมาเป็นอุทาหรณ์ ในหลักของกฏแห่งกรรมให้เรารู้ว่า เราฆ่าเขา...เขาฆ่าเรา ผลแห่งกรรมสนองชัดเจนขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็ว ในเรื่องของกรรมไม่มีอะไรบังเอิญ มีแต่ดำเนินไปตามเหตุและปัจจัยที่เคยสร้างสมมาอย่างพอดี

       ในอดีตกาล...สมัยที่พระพุทธเจ้าศากยมุนี พระองค์ยังเสวยพระชาติเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสารนั้น ทั้งสัตว์และมนุษย์สามารถสื่อภาษากันได้ดี ครั้งนั้นได้มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ต้องการจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องที่เสียชีวิตไปแล้ว จึงสั่งให้ลูกศิษย์ของตนนำแพะตัวหนึ่งไปฆ่า เพื่อนำไปประกอบอาหารทำบุญ ระหว่างที่ทำความสะอาดขนแพะอยู่นั้น แพะตัวที่ถึงฆาตได้หัวเราะเย้ยหยันอย่างบ้าคลั่ง และร้องไห้คร่ำครวญสลับไปมาเดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้จนลูกศิษย์สงสัย จึงจับนำเอาแพะตัวนั้นเข้าไปพบอาจารย์ของตนจึงเป็นที่มาของ มตกภัตตชาดก ครั้งพุทธกาลซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสเทศนาสอนสั่งให้เหล่าสาวกได้พึงตื่นแจ้งถึงเหตุต้นผลกรรมศีลข้อปาณาติปาตา

...........................................................................................................................................................................................

มตกภัตตชาดก

      พระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ วิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภถึง "มตกภัต" คือ ข้าวที่อุทิศให้คนตาย มีความพิสดารว่า...

ในกาลนั้น คนทั้งหลายย่อมฆ่าแพะ เป็นอันมาก ทำให้เป็น "มตกภัต" (อาหารเพื่อผู้ตาย) เพื่อญาติทั้งปวงที่ตายไปแล้ว ภิกษุทั้งหลายเห็นคนเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้นจึงได้กราบทูลพระศาสดาว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมกระทำสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิตเป็นอันมากให้ถึงความสิ้นชีวิต แล้วให้ชื่อว่า "มตกภัต" ความเจริญในการให้มตกภัตนี้ย่อมมีอยู่หรือ พระเจ้าข้า?"

พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ! ชื่อว่าความเจริญอะไรๆในการทำปาณาติบาตแม้ที่เขากระทำด้วยคิดว่า พวกเราจักให้มตกภัต ดังนี้ ย่อมไม่มี แม้ในการก่อน บัณฑิตทั้งหลายนั่งในอากาศ แสดงธรรมกล่าวโทษในการทำปาณาติบาตนี้ ให้ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นละเว้นกรรมนั้น แต่ในบัดนี้การกระทำนั้นกลับปรากฏขึ้นอีก เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ถูกภพชาติปกปิดไว้"

แล้วได้ทรงนำเรื่องในอดีตชาติมาทรงแสดงดังต่อไปนี้

ในอดีตกาลนานมาแล้ว เมื่อสมัยพระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชในพระนครพาราณสี มีอาจารย์ทิศาปาโมกข์ผู้สำเร็จวิชาคนหนึ่ง คิดว่าจะให้มตกภัต จึงให้จับแพะมาตัวหนึ่ง แล้วได้กล่าวกะศิษย์ของตนว่า

"พ่อทั้งหลาย พวกเธอจงนำแพะตัวนี้ไปที่แม่น้ำ เอาระเบียบดอกไม้สวมคอ เจิม ประดับประดาแล้วจงนำมา"

พวกศิษย์เหล่านั้นรับคำแล้วได้พาแพะตัวนั้นไปยังแม่น้ำ ให้อาบน้ำ เจิม และประดับแล้ว พักรอไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ

ส่วนแพะตัวนั้นได้ระลึกถึงกรรมเก่าของตนได้ จึงเกิดความดีใจว่าเราจะได้พ้นจากความทุกข์ในวันนี้แล้วจึงได้หัวเราะลั่น ประดุจต่อยหม้อดิน แต่กลับคิดว่า พราหมณ์นี้ฆ่าเราแล้ว จักได้ความทุกข์ที่เราได้แล้ว จึงเกิดความกรุณาต่อพราหมณ์เหล่านั้นจึงได้ร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง ในขณะนั้น พวกศิษย์นั้นจึงได้ถามแพะนั้นว่า

"แพะผู้สหาย เจ้าหัวเราะแล้วก็ร้องไห้ด้วยเสียงดังลั่น เพราะเหตุไรหนอเจ้าจึงหัวเราะ? และเพราะเหตุไรหนอเจ้าจึงร้องไห้?

แพะกล่าวว่า พวกท่านจงถามเหตุผลนี้กะเราในสำนักอาจารย์ของท่านเถิด พวกศิษย์จึงนำแพะตัวนั้น ไปหาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ พร้อมทั้งแจ้งเหตุให้อาจารย์ทราบแล้ว อาจารย์ได้ฟังคำรายงานของศิษย์แล้ว จึงได้ถามแพะว่า "แพะผู้สหาย เพราะเหตุไรเจ้าจึงหัวเราะแล้วก็ร้องไห้" ฝ่ายแพะได้หวลระลึกถึงกรรมเก่าที่ตนได้กระทำไว้ในอดีต จึงได้กล่าวกับพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์

"ท่านพราหมณ์ เมื่อชาติก่อนเราก็เป็นพราหมณ์ผู้สาธยายมนต์เช่นเดียวกับท่านนี่แหละ มีความคิดว่าจะให้มตกภัต จึงได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งแล้วให้มตกภัต เพราะเหตุที่เราได้ฆ่าแพะตัวหนึ่งนั้น เราจึงต้องถูกเขาตัดศรีษะมาแล้ว ๔๙๙ ชาติ ชาตินี้เป็นชาติที่ ๕๐๐ ของเรา ซึ่งเป็นการใช้กรรมชาติสุดท้าย เราจึงเกิดความดีใจว่า เราจะได้พ้นจากความทุกข์อันยาวนาน เห็นปานนี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงหัวเราะ แต่ที่เราร้องไห้นั้น เพราะด้วยความกรุณาในตัวท่าน ด้วยคิดว่าเบื้องต้นเราฆ่าแพะตัวหนึ่ง ได้รับความทุกข์คือถูกตัดศรีษะถึง ๕๐๐ ชาติ แต่จะพ้นทุกข์นั้นในวันนี้ ส่วนท่านพราหมณ์ฆ่าเราแล้ว ท่านก็จะต้องได้รับความทุกข์ถูกตัดศรีษะถึง ๕๐๐ ชาติ เหมือนเรา"

พราหมณ์กล่าวว่า

"แพะผู้สหาย เธออย่ากลัวเลย เราจะไม่ฆ่าเจ้า"

แพะได้กล่าวกะพราหมณ์

"ท่านพราหมณ์ท่านพูดอะไร? เมื่อท่านจะฆ่าเราก็ตาม หรือไม่ฆ่าเราก็ตาม วันนี้เราก็ไม่อาจจะพ้นจากความตายไปได้"

พราหมณ์ได้กล่าวกะแพะว่า

"แพะผู้สหาย เจ้าอย่ากลัวเลย เราจะช่วยอารักขาคุ้มครองเจ้าประดุจเงาตามตัวเลย"

แพะได้กล่าวว่า

"ท่านพราหมณ์ การอารักขาคุ้มครองของท่านมีประมาณน้อย ส่วนบาปที่เราได้ทำแล้วมีกำลังมากกว่า"

พราหมณ์ได้ปล่อยแพะไปแล้วกล่าวว่า

"เราจะไม่ให้ใครได้ฆ่าแพะตัวนี้"

จึงได้พาพวกศิษย์ช่วยอารักขาคุ้มครองแพะตามแพะไป ฝ่ายแพะพอถูกปล่อยแล้ว ก็ได้ชะเง้อคอเริ่มจะกินใบไม้ ซึ่งอาศัยแผ่นหินแห่งหนึ่งที่เกิดอยู่ในบริเวณนั้น ในทันใดนั้นเอง ขณะที่แพะกำลังชะเง้อคอจะกินใบไม้นั่นเอง ฟ้าก็ได้ผ่าลงที่แผ่นหินนั้น เสก็ดหินชิ้นหนึ่งแตกกระเด็นมาตัดคอแพะ ซึ่งกำลังชะเง้ออยู่ให้ศรษะขาดตกไปต่อหน้ามหาชน

ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาอยู่ในที่นั้น พระโพธิสัตว์นั้น เมื่อมหาชนเห็นอยู่นั่นแหละ นั่งขัดสมาธิในอากาศด้วยเทวานุภาพแล้วกล่าวว่า

"ถ้าสัตว์ทั้งหลายพึงรู้อย่างนี้ว่า การเกิดในภพชาติต่างๆเป็นทุกข์ สัตว์จึงไม่ควรฆ่าสัตว์ เพราะว่า ผู้มีปกติฆ่าสัตว์ย่อมเศร้าโศก"

"ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตจะต้องได้ทุกข์เวทนาในอบายภูมิ ๔ คือ
๑. ต้องตกนรก
๒. ต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน
๓. ต้องเกิดเป็นเปรต
๔. ต้องเกิดเป็นอสูรกาย
เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้แล้วจึงไม่ควรฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล"

พระโพธิสัตว์ได้แสดงธรรม โดยเอาภัยในนรกมาแสดงให้เห็นอย่างนี้แล้ว มหาชนฟังธรรมเทศนานั้นแล้ว เกิดความกลัวภัยในนรก พากันงดเว้นจากปาณาติบาต

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ครั้นแสดงธรรม และยังมหาชนให้ตั้งอยู่ในเบญจศีลแล้วก็ไปเกิดตามยถากรรม

ฝ่ายมหาชนได้พากันดำเนินอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ มีการให้ทานและรักษาศีล เป็นต้น เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ไปบังเกิดในเทพนคร

( *รุกขเทวดา บำเพ็ญเพียรในโพธิมรรคครั้งนั้น คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า นั่นแล )








วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

เอาใจเขามาใส่ใจเรา - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง


เอาใจเขามาใส่ใจเรา - พระโอวาทพระพุทธจี้กง เมตตาประทานกล่อมเกลาผู้บำเพ็ญธรรม

        ถ้าหากว่าวันนี้คือจุดเริ่มต้น ถ้าตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดท้ายสบายไปตลอดทาง ฝั่งตรงข้ามคืออะไร ?... (ความลำบาก) อาจารย์บอกแล้วว่ายากแสนยากมากเท่าไร ยิ่งยากยิ่งเป็นครูของเรา ตรงนี้คือจุดเริ่มต้นของความยาก เดินไปตลอดทางก็คือความยาก สุดท้ายไปจบที่ไหน ?...(ความสบาย) ฉะนั้น ตอนนี้อยากสบายก่อนหรืออยากลำบากก่อน ?...(ลำบากก่อน) ความลำบากตอนนี้เป็นความลำบากเพื่อเคี่ยวกรำตัวเอง เป็นความขัดใจเราเพื่อให้ใจของเราได้รับการขัดเกลา เป็นความไม่สมหวังเพื่อให้ใจของเราได้สุข ได้มาแห่งความสมหวัง แต่หลายๆ คนไม่ชอบ ชอบหาความลำบากให้กับตัวเอง ด้วยการ...

...วิ่งเข้าไปหากิเลส 
...วิ่งเข้าไปชนตัณหา 
...วิ่งเข้าไปชนความโกรธ 
...วิ่งเข้าไปหาความรัก ความหลง 

       อันนี้เป็นการหาความลำบากที่นำไปสู่ความสบายหรือเปล่า ?... อันนี้เป็นข้อยกเว้นของความลำบาก ถ้าลำบากเพราะกิเลสตัณหา ศิษย์อยู่กับความลำบากนี้ตลอดชีวิตก็ไม่เจอความสบาย แต่ความลำบากที่จะทำให้เราสบายได้ คือลำบากที่จะขัดเกลาตัวเอง ฝืนใจตนเอง

       เวลาปลาว่ายน้ำก็ว่ายจากปลายน้ำใช่หรือไม่ ? ถ้าว่ายขึ้นไปสู่ต้นน้ำ ถามว่าน้ำนั้นพัดปลาลงหรือเปล่า บางทีน้ำวิ่งลงปลาจำเป็นต้องลงด้วย แต่ปลายอมถอยไหม ?...(ไม่ถอย) เขาก็วิ่งไปจนกว่าจะเจอต้นน้ำ จนกว่าจะเจอน้ำนิ่ง เขาถึงจะหยุดใช่หรือไม่ เราเกิดเป็นคนสู้ปลาได้หรือเปล่า ?...(ไม่ได้) จะยอมแพ้ปลาตัวเล็กๆ หรือ ?!

      อาจารย์เห็นศิษย์ไม่ยอมแพ้เหมือนกันนะ ! ด้วยการไปตลาด แล้วก็ชี้ๆ เอาตัวนี้มากินเลย เราต้องเอาการต่อสู้ของปลามาเป็นสติเตือนใจของเรา เราจะชนะเขาเพราะว่าเรามีความพยายามมากกว่าเขา แต่ไม่ใช่ไปตลาดแล้วก็จิ้มๆ ปลาตัวนี้แล้วก็กลับไปบ้าน..!!!  เวลาเขาจะฆ่าปลาทำอย่างไร ทุบหัวใช่หรือเปล่า ? เวลามีคนมาเขกหัวเราเจ็บไหม ?...(เจ็บ) เขกหัวไม่พอ เขาเอาไม้มาทุบหัวเราเหมือนปลาเจ็บไหม ?...(เจ็บ) ปลาเจ็บไหม แล้วเราจะกินเขาไหม ?... (ไม่กิน) 

       เอาใจเขามาใส่ใจเราวันนี้เราตีเขา แต่ไม่ตีเอง สั่งคนอื่นตี วันหน้าคนอื่นก็ตีเรา เขาไม่สนใจว่าเราจะเจ็บเท่าไรใช่หรือไม่ ?... ปลาตัวหนึ่งเป็นวิญญาณของคน คนหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่เป็นวิญญาณที่ไม่สามารถจะมารวมเป็นญาณใหญ่ ไม่ได้เหมือนศิษย์ที่มีจิตญาณดวงเดียว เพราะการที่ศิษย์มีจิตญาณเป็นมนุษย์ เป็นจิตญาณที่กลม เป็นจิตญาณ ที่สมบูรณ์ จึงสามารถที่จะใกล้เคียงกับพระอริยา จึงสามารถ บำเพ็ญไปเป็นพุทธะได้ ถ้าเป็นปลาก็บำเพ็ญไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเขาด้อยกว่า เราจึงตีเขาได้ ทรมานเขาได้ 

       วันนี้เราตีเขาเราส่งคนตี วันหน้า คนอื่นจะสั่งตีเราไหม มิหนำซ้ำเขาอาจไม่ตีตอนเราเป็นมนุษย์ อาจตีโดยการชดใช้กรรมของเราให้เราไปเกิดเป็นปลาแล้วคนอื่นสั่งคนมาตีเราถึงเวลาเจ็บไหม ? ร้องออกไหม ?...(ไม่ออก) ไม่มีเสียงร้อง เหมือนคนเป็นใบ้คนตีไปเหมือนไม่เจ็บ ร้องไม่ได้ เพราะว่ากรรมก็คือการกระทำ เราทำสิ่งใด เราก็จะเจอสิ่งนั้น เราตบหน้าคนไปผัวะหนึ่ง คนอื่นจะตบหน้าเราไหม ?...(ตบ) เราเตะเขาได้เขาก็เตะเราได้ เราเหยียดหยามเขาได้เขาก็เหยียดหยามเราได้ เนื้อเขาเรากินได้ เนื้อเราเขาก็กินได้

       เพราะฉะนั้นอย่าลืมว่าลิ้นในปากของเรามีแค่สามนิ้วเท่านั้นเอง รสชาตินั้นเกิดที่ลิ้นลิ้นอยู่ที่คอไม่ได้อยู่ที่ท้อง กลืนลงไปแล้วก็หมดรสใช่หรือเปล่า ? ติดในรสชาติของเขาว่าเขาอร่อย เขาบำรุงเรา ถ้าเราไปกินเขาตอนนี้แล้วบอกว่าเขาติดเราไว้ ถ้าหากศิษย์ไม่เป็นผู้ตัดกรรมแต่เนิ่นๆ ก็อย่าหวังให้คนอื่นเขาตัด ฟังมาถึงตอนนี้แล้ว เนื้อสัตว์กินได้ไหม ?...(ไม่ได้) กินน้อยๆ หน่อยดีไหม ใครเลิกได้ เลิกเสียดีไหม ?...(ดี) ไม่เช่นนั้นศิษย์ก็ต้องเจอชะตากรรมแบบเดียวกัน





วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรจึงสามารถตัดกรรม และไม่เกี่ยวกรรมกับเวไนย์ทั้งหลาย...? - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระบรรพจารย์เจียงไท่กง


"สมัยที่เราตกปลาอยู่ริมน้ำ เบ็ดตกปลาที่เราใช้นั้นเป็นเส้นตรง เรามิได้มีเจตนาที่จะตกปลา แต่เราต้องการตกเจ้านครรัฐ เราต้องการจะตกพระเจ้าเหวินหวัง เพราะเหตุใดเล่า ? ก็เพราะว่าบัญชาสวรรค์ประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น สายทองต้องสืบทอด หากว่าพระเจ้าเหวินหวังขาดจริยธรรมต่อชนเบื้องล่าง เป็นบุคคลที่ขาดคุณธรรมแล้ว พระองค์จะทรงสำเร็จพระกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร หากปราศจากพระทัยที่กว้างขวางแล้ว พระองค์จะทรงเป็นประมุขของแผ่นดินได้อย่างไร ใช่หรือไม่ ?…"

.................................................................................................................................................................................................

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 
พระบรรจารย์รุ่นที่ ๑๒ เจียงไท่กง เมตตาประทานกล่อมเกลาเวไนย์

ทำอย่างไรจึงสามารถตัดกรรม และไม่เกี่ยวกรรมกับเวไนย์ทั้งหลาย...?

       "ในวันนี้เมธีทั้งหลายเดินเข้ามาในพุทธสถานแห่งนี้ก็เพื่อศึกษาเรียนรู้เรื่องของ หลักวิถีแห่งจิต อีกทั้งยังขออธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยปกป้องคุ้มครองทุกคนในครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข แต่ขอถามหน่อยเถิดว่าหากซื้อของแล้วไม่จ่ายสตังค์ จะเอาของไปได้ไหม ?...

เธอไม่สร้างบุญสร้างกุศล สิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถช่วยเธอได้ไหม ?...

       อย่าได้ลังเลอยู่นอกประตูผีต่อไปอีกเลย แม้ว่าเธอจะรับธรรมแล้ว ขึ้นชื่อบนทะเบียนฟ้า คัดชื่อออกจากบัญชียมโลกแล้วก็ตาม ต่อให้เธอสามารถนั่งทางในถอดจิตระลึกชาติได้ แต่มลทินในตัวเธอ อีกทั้งเวรกรรมในอดีตยังไม่ได้ชำระสะสาง เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรดี ?...

หากเธอเคยยืมเงินเขาเป็นหนี้เขา เมื่อถึงเวลา เธอต้องชดใช้คืนหรือไม่ ? แต่นี่เธอยังไม่ใช้คืนกลับทวงจากเขาอีก แล้วนับอะไรกับหกหมื่นปีที่เวียนว่ายตายเกิด แ้ม้หญ้าเพียงต้นไม้เพียงท่อน ข้าวเพียงเม็ด ยังจะต้องคำนวณกันอย่างละเอียดถี่ยิบ อย่างนี้เข้าใจไหม ?...

"แรงปณิธานดั่งนาวา แรงกรรมดุจกาลเวลา" นาวาสามารถบรรทุกก้อนหินได้ไหม ? (ได้...) ขอเพียงอย่าให้น้ำหนักเกิน วันนี้เธอรับธรรมแล้วได้ตั้งมหาปณิธาน ๑๐ ข้อ สมมุติว่าเรือลำนี้สามารถบรรทุกได้หนึ่งตันเธอได้นำก้อนหินหนึ่งตันบรรทุกไว้ น้ำหนักจะพอดีใช่หรือไม่ ? ถ้าหากน้ำหนักเกิน เรือก็จมใช่หรือไม่ ?...

ดังนั้น เมธีทั้งหลายจะต้องระมัดระวัง วิบากกรรมในวันนี้อาจลบด้วยแรงปณิธาน เมื่อเธอตั้งปณิธานแล้วต้องบรรลุปณิธานด้วย

       ทำอย่างไรจึงสามารถตัดกรรมและไม่เกี่ียวกรรมกับเวไนย์ทั้งหลาย ?... จะต้องปลดปล่อยชีวิตสัตว์ด้วยการทานเจ อย่างนี้ฟังเข้าใจไหม ?

ทุกคนย่อมมีครอบครัวลูกเมียอันเป็นที่รัก ส่วนพวกหมู หมา กา ไก่ ก็มีญาติมิตรของเขาเช่นเดียวกัน ล้วนมีพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเหมือนกัน ถ้าหากเธอไปทำลายครอบครัวของคนอื่นเขา ทำให้ชีวิตเขาอยู่ไม่เป็นสุข ชำแหละแยกเนื้อหั่นกระดูกเขา ว่าตามกฏแห่งกรรมแล้วก็จะต้องรับผลของกรรมเช่นเดียวกันกับที่ทำไว้

ก็เหมือนกับเธอได้เปิดบัญชีซื้อเชื่อกับร้านค้า วันหนึ่งเซ็นไว้ ๑๐ บาท ร้อยวันเป็นเงินเท่าไหร่ ?... ๑๐๐๐ บาท...

เมื่อถึงวันเจ้าหนี้ก็จะต้องมาทวงกับเธอใช่หรือไม่ ? จากทีละเล็กทีละน้อยจนมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนหยดน้ำยังสามารถกัดกร่อนแท่นหินให้สึกได้เลย...

         เมธีทั้งหลายจะต้องถนอมวาระบุญอยู่ทุกขณะ ชีวิตมนุษย์ก็คือทะเลทุกข์ ร่างกายที่ให้เราใช้ได้เพียงไม่กี่ปี อย่าคิดว่ายังมีพรุ่งนี้ความหวังเธออยู่ในวันพรุ่งนี้ แต่ว่าในมือของเธอวันนี้ยังว่างเปล่า เธอควรที่จะถนอมเวลาทุกขณะ ใช้ชีวิตด้วยเหตุและผล หนทางที่จะดำเนินต่อไปต้องกระจ่างชัด แล้วได้ลงมือปฏิบัติหรือยัง ?..."






วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

บทกลอน...ปาณาการ์ตูน - แปลและเรียบเรียง ศุภนิมิต



ถือศีลกินเจ

        อนุโมทนา สาธุการ ท่านกินเจ
ไม่รวนเร แม้สิบวัน สั้นสั้นนี้
ชำระกาย คุมใจได้ ในช่วงปี
ก็ยังดี สักสิบวัน ท่านตั้งใจ
       เราถือศีล กินพืชผัก เพราะรักตัว
เราก็กลัว ถูกเชือดเฉือน เหมือนหมูหมา
ไม่อยากให้ หนี้เวรกรรม ตามทันมา
จึงขอลา มุ่งหาผัก สักสิบวัน
      ชั่วสิบวัน ท่านก็รู้ ดูสดใส
ทั้งกายใจ ไม่หมักหมม อมกลิ่นสัตว์
ไม่ต้องหวั่น วิญญาณเขา มาเร่งรัด
เขาอาฆาต เราอาจตาย ไม่รู้ตัว
      พ้นสิบวัน ท่านได้โปรด อดไว้ก่อน
อย่าเร่งร้อน รีบ " กินชอ " ชะลอไว้
ผักเป็นยา รักษาได้ หายโรคภัย
ทั้งเหตุร้าย ได้บรรเทา เจ้าหนี้กรรม

โดย...ศุภนิมิต

......................................................................................................................................................................................

บทกลอน...ปาณาการ์ตูน  - ศุภนิมิต แปลและเรียบเรียง

   

        ถือศีลเจ     ภาวนา     เมตตาจิต
บุญสัมฤทธิ์   สั่งสมไว้   ได้วาสนา
ถือศีลเจ    หยุดฆ่าเข่น    เว้นโรคา
เหตุอันพา   หนี้กรรมเวร   เว้นสิ้นไป
ถือศีลเจ   ล้างท้องไส้   ไม่โสโครก
ไม่อมโรค  ตกต่ำได้   กายใจใส
หวังวอนว่า  สาธุชน   ตนมุ่งไป
" เจ" ปลูกไว้  เว้นเข่นฆ่า   เทวาทูน

       เมื่อก่อนนั้น สันติกาล วันสงบ
ไม่มีรบ ขู่เข่นฆ่า น่าใจหาย
อากาศดี มีลมรื่น ชื่นใจกาย
จะไปไหน สุขเสรี ไม่มีภัย

       พระพุทธองค์ ทรงสอนให้ ใจเมตตา
อย่าเข่นฆ่า ทำลายเขา ให้เศร้าหมอง
เกิดเป็นสัตว์ มีแต่ทุกข์ ถูกจำจอง
จงอย่าจ้อง ซ้ำเติมเขา เฝ้ารังแก

     ชำแหละเขา เอาเนื้อมา ทำค้าขาย
หลงดีใจ ได้เงินมา หาความสุข
ผลสุดท้าย บาปเวรกรรม ก็นำทุกข์
อาจถึงลูก ผูกถึงหลาน วันต่อไป

     ของเคยกิน ชินรสปาก อยากอย่างนั้น
เป็ดรมควัน หมูหยองแผ่น แสนสงสาร
อร่อยลิ้น หลงรสกลิ่น กินกันมัน
เนื้อเธอฉัน หั่นแผ่นย่าง บ้างปะไร

      รักตัวเอง เกรงป่วยไข้ ไม่อยากตาย
อยากจะหาย รีบบำรุง ปรุงสังขาร
ไม่รู้ว่า เจ้าหนี้กรรม ตามรังควาน
เจ็บป่วยนาน เพราะเจ้าหนี้ มีมากมาย

      บำรุงลูก ทุกเนื้อสัตว์ อัดจนอ้วน
เนื้อสัตว์ล้วน มีพิษร้าย ให้โทษหนัก
ดูผิวเผิน ลูกอ้วนพี ดูดีนัก
พิษสัตว์หมัก จักทำลาย ให้ตายเร็ว

       อย่ายิงนก ตกปลาเล่น เป็นบาปหนัก
เขาก็รัก ตัวกลัวตาย ห่วงใยลูก
หนูก็มี พ่อแม่รัก คอยปักปลูก
พ่อแม่ลูก เขายิงตาย ใครอุ้มชู

      จับเขาขอด ถอดถอนขน จนเกลาเกลี้ยง
เติมเครื่องเคียง ปรุงชูรส ซดกันใหญ่
ในเนื้อเขา มีพิษแค้น อัดแน่นไว้
ก่อนเขาตาย คายพิษไว้ ให้เรากิน

       ช่างใจทราม ลุกลามฆ่า ถึงป่าเขา
สังหารเอา ทั้งเนื้อหนัง ช่างสนุก
เขาวิ่งพล่าน หวั่นชีพม้วย ด้วยความทุกข์
ช่างสนุก ยิ่งได้ถูก ไชโยกัน

       ฉันเวียนว่าย ในแม่น้ำ ลำคลองสระ
ไม่เคยระ รานผู้ใด ให้เดือดร้อน
ใจบุญแล ขอปลดปล่อย แล้วคอยต้อน
ตามริดรอน จับไปใหม่ ทำไมกัน

       อย่าห้ำหั่น ฉันกลัวตาย นายอย่าฆ่า
จะำทำนา จะเทียมเกวียน เวียนคราดไถ
ทำงานหนัก ไม่พักเหนื่อย เมื่อยแทบตาย
ฉันทนได้ ไว้ชีวิต อย่าปลิดเลย

       ตายเถอะวะ อย่าอยู่ไป ให้บาปซ้ำ
คนใจดำ อำมหิต คิดแต่ได้
ชีวิตเขา มึงว่าได้ ไม่เป็นไร
เพียงฝันไป มึงก็กลัว แทบตัวตาย

       เลี้ยงวันเกิด เพลิดเพลินกิน ชิ้นเนื้อใหญ่
หมูเป็ดไก่ กุ้งปูปลา อาหารเหลา
ฉลองชัย มันตายกัน วัดเกิดเรา
มันโศกเศร้า เราเฮฮา มากินกัน

      วันตรุษสารท พลาดไม่ได้ ไก่เป็ดหมู
เป็นของคู่ ถาด"ซาแซ" และกุ้งหอย
คาวยิ่งมาก บาปยิ่งหนา ฆ่าเป็นร้อย
เลือดไหลย้อย ทุกโอกาส ตรุษสารทงาน

      กินเขาเสร็จ เช็ดปากยิ้ม อิ่มอร่อย
แล้วก็คอย สักวันหนึ่ง มาถึงแน่
ยมทูต ลากคอรั้ง ทั้งหนุ่มแก่
ร่างนอนแน่ อึดเน่าเหม็น เช่นสัตว์ตาย

       กระชากถู        สู่นรก          กระจกส่อง
บอกถูกต้อง          ตนเคยทำ     กรรมไว้ก่อน
ไม่อาจเถียง          เลี่ยงหลักฐาน การทุกตอน
ไม่ผัดผ่อน           ต้องรับกรรม ที่ทำมา

       วิญญาณสัตว์        อัดใจแค้น         แล่นเข้าใส่
เป็นยังไง             ถึงทีกู           ได้รู้มั่ง
มึงติดใจ             เนื้อกูหวาน        มันหรือยัง
ทีกูมั่ง                จะฉีกกิน             สิ้นซากมึง

      พระฯเป็นใหญ่          ในโลกันต์         เปิดบัญชี
เจ้าเป็นหนี้                     ชีวิตเขา             เจ้าต้องจ่าย
ตามกำหนด                   กฏแห่งกรรม       ธำรงไว้
ไม่มีใคร                        ได้เปรียบใคร       ให้กินฟรี

      ถูกต้มบ้าง        อย่างต้มเขา          เจ้าเคยทำ
หม้อน้ำมัน             เดือดพล่านล้น      ทนได้ไหม
เคยหั่นสับ              ถูกจับหั่น               นั่นเป็นไง
เลือดแดงไหล        ไม่ต่างกัน              หั่นเขามา

      จากนรก           โทษสาหัส         แล้วจัดส่ง
เวียนสู่วง                เดรัจฉาน           ผ่านมาใหม่
เป็นหมูหมา            เป็ดไก่ลา           ม้าวัวควาย
ต้องกลับกลาย       มาใช้กรรม         ที่ทำมา

      ใช้กรรมเก่า          เศร้าจิตหนา         ระอานัก
เมื่อใครจัก                สิ้นสุดได้               ไม่ข้องเกี่ยว
หมดหนี้เวร               เลิกพัวพัน              กันทีเดียว
ไม่ต้องเที่ยว             เกิดแล้วตาย          หลายชีวี

      วัวควายม้า            มาเกิดกาย         ใช้งานหนัก
ต้องลากชัก                 เทียมบรรทุก      ถูกลงแส้
ตัวร้อนผ่าว                 หนาวเป็นไข้       ใครเหลียวแล
จนโทรมแก่                ล้มลงตาย           ใต้ล้อเกวียน

      บ้างก็ได้          ไปเกิดตาย          เป็นชายหญิง
แต่รุ่งริ่ง                  ยากจนนัก          มักขัดสน
เป็นโรคเรื้อน          ป่วยเรื้อรัง          ช่างทุกข์ทน
ใครได้ยล               รังเกียจว่า           น่าสังเวช

      บ้างเป็นคน         บนคราบสัตว์         เดรัจฉาน
เป็นคนร่าน               พล่านโลกีย์            บุหรี่เหล้า
ยาเสพติด                 การพนัน                 ปั่นหัวเอา
เป็นแม่เล้า                เจ้าแมงดา              อนาจาร

      แกะวัวควาย         เกิดตามมา      ฆ่ายอกย้อน
ใครฆ่าก่อน                ฆ่าทีหลัง         ชั่วใจซิ
น้ำตาไหล                  สำนึกใหม่        หมายให้ดี
รู้อย่างนี้                     จะไม่ขอ          ก่อกรรมเวร

      เมื่อเขาเป็น        มิทนเห็น       เขาต้องตาย
เช่นวัวควาย          น้ำตาอาบ         คราบแก้มสอง
กินได้หรือ             เนื้อของเขา      เมื่อเขาร้อง
เป็นทำนอง           ปราชญ์เมิ่งจื่อ   ถืออบรม

      เพื่อนของเรา    เห่าหอนอยู่    ดูดีดี
แต่บัดนี้             สิเป็นศพ        เลือดกลบร่าง
เขาฆ่าเพื่อน      เพื่อบำรุง       ปรุงแรงช้าง
อนิจจัง              อย่าเกิดมา     เป็นหมาเลย

       สำนึกงาม         ยามเกิดใหม่     ได้กราบพระ
ไม่เลยละ          สร้างบุญทาน     งานกุศล
อิ่มเอิบใจ         ได้กายา             มาเป็นคน
เอาตัวตน          เป็นนาบุญ         หนุนสร้างทาน

       จะกินผัก          ซักฟอกใจ        ให้สะอาด
จะกำราบ          อารมณ์หมอง       ให้ผ่องใส
พอกันที           ชีวิตเขา              ขอห่างไกล
กินเจได้           ไม่เกี่ยวกรรม       ช้ำชอกทรวง

       จะทำบุญ        หนุนสงเคราะห์     เหมาะกาละ
จะสละ            ทั้งแรงกาย            ไม่ถดถอย
จะนำพา          สาธุชน                 ทั้งจนรวย
จะฉุดช่วย        ขึ้นอนุตตระ          นาวาทอง

       ในยุคนี้           จี้กงสงฆ์           องค์อมตะ
รับภาระ           พระวิสุทธิ์         ฉุดสามโลก
ด้วยโองการ    ฟ้าเบื้องบน       ได้ทรงโปรด
พร้อมทั้งหมด  คืนนิพพาน       บ้านเดิมกัน

       จะน้อมกาย      ถวายจิต         เป็นศิษย์มั่น
พระองค์ท่าน    โปรดนำชี้      ที่สถิต
ให้ได้รู้              พุทธญาณ      งามนิมิต
เป็นดวงจิต       ที่ไม่ตาย         ในกายเรา

        กาลคับขัน       มหันตภัย         ใกล้คิ้วแล้ว
โลกไม่แคล้ว    วิบัติสิ้น           ถิ่นอาศัย
พระโพธิสัตว์     กวนอิมโปรด   นิโรธภัย
ปรกโปรดใหญ่   สามโลกได้     วิถีธรรม

       คนได้รับ         สดับธรรม         แล้วบำเพ็ญ
จะรู้เห็น           จิตพุทธะ          กระจ่างใส
จะรอดพ้น        ยุคสุดท้าย       มหันตภัย
ช่วยตนได้        ช่วยใครใคร     ไปนิพพาน

       ขงจื่อท่าน       อันจอมปราชญ์    วิลาศล้ำ
โปรดนำคำ      "จงซู่"             เป็นครูสอน
หมายความว่า    "จิตจุดกลาง"    ต่างสังวร
อย่าให้คลอน     "สงบนิ่ง"           ตัวจริงเรา

       สำรวมกาย       ใจวาจา        ทุกคราเมื่อ
จะล้นเหลือ       วาสนา         พาสุขสม
ไม่ทำชั่ว           ปล่อยใจทราม    ตามอารมณ์
จะนำโน้ม         กุศลบุญ         หนุนชีวี

       ทุกบ้านเมือง     เฟื่องฟูมั่น      สันติสุข
ไม่หวาดทุกข์     ระแวงภัย        ผู้ร้ายมาก
ฤดูกาล               ไม่ปั่นป่วน      รวนวิบาก
ไม่จนยาก           จักอำนวย       ช่วยเหลือกัน

      โลกทั้งโลก       สดชื่นใส       ไม่อับเฉา
ลำธารเขา         งามดอกผล     คนสุขสันต์
หมื่นแปดร้อย     อายุยืน           ชื่นชีวัน
สมานฉันท์         สงบเย็น          เช่นชาวเซียน


วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

"ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" - พระโอวาทพระพันปี

           

          "ใครหนอว่าหลักธรรมแห่งสากลโลก (หรือที่ทุกวันนี้คนทั้งหลายนิยมเรียกว่า "กฎแห่งกรรม") ไม่มีการตอบสนองนะก็ดูพวกสัตว์สี่ชนิดนั้นเถิด วัว ม้า ไก่สัตว์ปีก ปลา แมลง ยุง ตัวหนอนนั้น ชาติก่อนต่างก็สร้างเหตุต่างๆ ซึ่งไม่เหมือนกันดังนั้นชาตินี้จึงมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป คนเป็นสิ่งที่มีค่าสูงยิ่งในบรรดาสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายในแดนมนุษย์ที่เรียกว่า "บ่วง" (สัตว์ประเสริฐ หรือสิ่งประเสริฐแห่งนานาพันธุ์) ต้องถนอมรักษาบุญวาระที่เกิดมาเป็นมนุษย์ จงรีบแสวงหาธรรมบำเพ็ญศีลและก็ปลอบเตือนสัตว์สี่ชนิดที่เรียกอยู่ในมวลสรรพชีวิตทั้งหลายต่างเจียมตัวเจียมกาย เพื่อลบล้างบาปเวรเปิดทางเดินที่สว่างไสวจากช่องทางของสัตว์ขึ้น มุ่งหวังที่จะกลับคืนสู่ร่างมนุษย์โดยเร็ว อย่าให้เหมือนแมงมุมที่ใต้ชายคาบ้านทอใยสร้างข่ายพรางตา ขลุกตัวเองอยู่ในนั้นตลอดชาติไม่สามารถหลุดพ้นออกจากร่างแห"

        "ถนนหนทางในแดนนรกขมุกขมัวนัก แต่ละวันมีแต่เสียงร่ำไห้โอดครวญ คนตายก็โศกเศร้าร่ำไห้ สัตว์ตายครวญครางไม่หยุดหย่อน สัตว์สี่ชนิดที่ไปเกิดในแดนมนุษย์ส่วนมากถูกชาวโลกเฉือนฆ่า เมื่อชีวิตถูกคมมีดเฉือนเอาขณะนั้นตกใจกลัวจนตะลึงพรึงเพริดขวัญหนีดีฝ่อ อยากจะหาทางเอาชีวิตรอด แต่ด้วยเหตุที่มีกำลังอ่อนแอกว่าจึงไม่สามารถดิ้นหลุด จึงได้แต่แหกเสียงหวีดร้อง ราวกลับว่าถูกนำส่งตะแลงแกงทำการประหาร ดวงวิญญาณจุดนั้นล่องลอยไปยังใต้บาดาล "ตำหนักวิญญาณสัตว์สี่ชนิดคืนชีพ" กำลังทำการรับเอาดวงจิตวิญญาณ เพื่อคืนชีพให้อยู่ในร่างมนุษย์ แล้วก็ตามบุญตามกรรมที่ตนก่อไว้สนองรับไปเพื่อที่จะได้ชำระล้างบาปจากเหตุซึ่งสร้างไว้แต่ปางก่อน ศิษย์ทั้งหลายถ้าไม่ตั้งตนอยู่ในทางธรรม จิตใจโหดร้าย ทำสิ่งไร้ศีลธรรม ขัดหลักธรรมแห่งสวรรค์และไม่กลัวความตายนั้น เมื่อตัวตายแล้วถูกหมุนเวียนไปเกิดเป็นสัตว์พวก รก ไข่ น้ำ แยกกายเกิดเป็นสัตว์สี่ชนิดนั้นอย่างแน่นอน"

พระโอวาทพระพุทธจี้กง เมตตา

..........................................................................................................................................................................................

เรื่องราว "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" - จากหนังสือท่องนรก 

        ( เนื่องด้วยฟ้าเบื้องบนเมตตา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกเมตตา ประทานธรรมะลงปกโปรดในยุคท้ายนี้ผู้น้อยจึงมีโอกาสได้รับการส่งเสริมจากนักธรรมอาวุโสให้ได้มีโอกาสกราบขอรับวิถีอนุตตรธรรม แลได้มีโอกาสศึกษาธรรมะเข้าใจรู้ซึ้งตื่นจากความหลงติดแ่น่นแต่เดิมทีถึงเหตุใดผู้บำเพ็ญธรรมพึงละเว้นกรรมปาก เปลี่ยนแปลงตัวเองหันมารับประทานอาหารเจ ได้มีโอกาสกินเจเว้นกรรมตัดหนี้สินเวรกรรมในอดีตชาติอันเนิ่นนานนอนเนื่องที่เคยได้ดื่มเลือดกินเนื้อพี่น้องร่วมอุทรธรรมญาณมานับไม่ถ้วนชีวิตจิตญาณ กราบขอฟ้าเบื้องบนเมตตา เจ้ากรรมนายเวรทุกท่านในอดีตชาติเมตตา ประทานอภัยในความผิดบาปที่เคยได้กระทำมา โอกาสนี้ผู้น้อยขออนุญาตเกริ่นนำฝากความในใจสักเล็กน้อยถึงญาติธรรมทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบทความ จากผู้ดูแลบล๊อก :

         แท้ที่จริงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ล้วนเวียนเกิดเวียนตายจากมนุษย์ เหตุเพราะหลงผิดประกอบอกุศลกรรมจึงตกสู่ห้วงอบายภูมิเช่นนั้นแล พึงมีจิตเมตตากรุณาสงสารให้สรรพสัตว์ได้มีโอกาสสำนึกผิดบาปจากความผิดที่เคยได้ก่อกระทำมาแต่อดีตชาติเมื่อหนี้กรรมคลายลงจักได้มีโอกาสได้รับความเมตตาจากฟ้าเบื้องบน ไปตามกระบวนการเพื่อให้ได้มีโอกาสกลับกลายร่างมาเกิดเป็นมนุษย์อีกคราเพื่อปฏิบัติบำเพ็ญประกอบคุณงามความดียังประโยชน์แก่ตัวสรรพสัตว์เองที่ได้มีโอกาสกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง แลสรรพสัตว์เองเมื่อเขาได้มีโอกาสเป็นมนุษย์อีกคราก็สามารถบังเกิดโพธิจิตฉุดนำมวลเวไนย์อันมีอาจประมาณอย่างมิเหนื่อยหน่ายสมดังพระมหากรุณาธิคุณของฟ้าเบื้องบนเมตตา
         เมื่อเราทราบเช่นนี้แล้วว่าแท้จริงจิตญาณทั้งในตัวเรามนุษย์และสรรพสัตว์นั้นล้วนมาจากแหล่งเดิมปางก่อนเฉกเดียวกันแล้วใยเราจักไม่มอบความรักเมตตาให้โอกาสส่งเสริมเขามิตัดรอนชีวิตและิจิตใจของสรรพสัตว์เพื่อให้เค้าได้มีโอกาสหวนกลับมาเป็นมนุษย์ในเร็ววัน เปิดทางใ้ห้โพธิจิตของเขาดำเนินในวิถีธรรมต่อไปอย่างราบรื่นจนสำเร็จมรรคผลเฉกเดียวกันกับพระพุทธะโพธิสัตว์ทั้งหลายเทอญ
         เริ่มต้นที่ตัวเราเองเถิดเข้มงวดและลงแรงที่จิตเราเองเถิดค่อยๆละวางตัดเสียซึ่งความอยากของตัวเราเพื่อเปิดทางให้ทุกชีวิตได้ดำเนินสู่โพธิวิถี กินเจเว้นกรรม...ทำได้เลยมิต้องรีรอ เราขออวยชัยให้ทุกท่านมีพลังเต็มเปี่ยมเพื่อสร้างกำลังใจที่เข้มแข็งแลแสดงออกมาอย่างกล้าหาญ เปล่งจิตเมตตากรุณาแห่งโพธิสัตว์ในตัวท่านที่มีอยู่สมบูรณ์เช่นนั้นเองแล้วแต่เดิมทีมีมาพร้อมโอบอุ้มสรรพสิ่งร่วมเดินเจริญตามรอยปราชญ์อริยานำพาสันติสุขอันแท้จริงบังเกิดสู่โลกาเทอญ )

.................................................................................................................................................................................................

พระโอวาทพระพันปี ปกครองดูแล ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ

            "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" นี้ชาวโลกรู้กันน้อยมาก เนื่องจากมีพระราชโองการให้แต่งหนังสือ "เที่ยวเมืองนรก" ท่านเง็กเสียงอ๊วงตี่(เง็กเซียนฮ่องเต้)มีเทวโองการบัญชามาจึงได้เปิด "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" รับท่านเข้ามาเยี่ยมชมเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย

ข้าพเจ้าปกครอง "ตำหนักวิญญาณสี่ชนิดคืนชีพ" อยู่ในตำแหน่งพระพันปี เพราะสี่ชนิดเช่นเต่ามีชีวิตยืนนานถึงพันปี ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขนานนามว่า พระพันปี ไม่เรียกว่ายมบาล บรรดาผู้ที่มีความชั่วร้ายอุบาทว์กรรมเวรเต็มตัวในเมืองมนุษย์ เมื่อผ่านการลงโทษจากสิบขุมแล้ว ก็ถูกตัดสินเข้าสู่หนทางเกิดของสัตว์ สัตว์สี่ชนิดคืนชีพในหกทางแห่งเวียนว่ายตายเกิด เมื่อไปเกิดยังโลกมนุษย์ก็ถูกเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนหัว สูญไปซึ่งร่างกายมนุษย์ที่มีค่ายิ่ง

สัตว์สี่ชนิดแยกออกเป็นการเกิดจากรก เกิดจากไข่ เกิดจากน้ำ และเกิดจากการแยกกายสี่จำพวก เกิดจากรกเป็นชั้นที่หนึ่ง เกิดจากไข่เป็นชั้นที่สอง เกิดจากน้ำเป็นชั้นที่สาม เกิดจากการแยกกายเป็นชั้นที่สี่ 

เนื่องจากวิบากกรรมมาก จึงไปเกิดในแดนมนุษย์รับกรรมสนองตอบคืน เมื่อสี่ชนิดตายลงแล้ว เพราะเหตุว่าเกิดจากรก เกิดจากไข่นั้นดวงวิญญาณเหมือนมนุษย์ เป็นดวงวิญญาณที่สมบูรณ์ พวกเกิดจากน้ำ เกิดจากการแยกกายนั้นมีเวรกรรมหนักมาก ดวงวิญญาณถูกแยกออก ดังนั้นที่เกิดจากน้ำเกิดจากการแยกกายสองชนิดนี้ การคืนชีพจึงค่อนข้างยาก ต้องคอยดวงวิญญาณรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน วิญญาณนั้นจึงจะสมบูรณ์แบบ จึงสามารถคืนชีพเป็นตัวมนุษย์ได้

           ข้าพเจ้าจะอธิบายให้ฟัง ความเป็นอยู่ทั่วพิภพนั้นล้วนอาศัยอากาศธาตุศักดิ์สิทธิ์เป็นพลังโคจรหมุนเวียน ดังนั้นศาสนาเต๋าจึงมีสิ่งที่เรียกว่า อากาศธาตุศักดิ์สิทธิ์ (หรือธาตุอันดับ 1) นี้แปลงออกเป็น 3 ภาค (หรือ 3 ภพ) ซึ่งความจริงแล้วธาตุอันดับ 1 นี้แปลงได้ไม่ ใช้แค่สามภาค (ภพ) เท่านั้น แต่สามารถแปลงได้เป็นหมื่นภาค เช่นนี้แล้วฟ้าก็มีธาตุฟ้า ธรณีก็มรธาตุธรณี มนุษย์ก็มีธาตุมนุษย์ ฟ้าธรณีมนุษย์มีการหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากธาตุฟ้าขาดลง ฟ้าก็ถล่มลง ธาตุธรณีขาดลง ธรณีก็จะทลายลง ธาตุมนุษย์ขาดลงมนุษย์ก็จะวายปราณ อากาศธาตุแท้อันนี้ก็คือธาตุจิต

ก่อนหน้านี้ไม่นาน นักวิทยาศาสตร์เมืองมนุษย์ได้พิสูจน์แล้วปรากฏว่ามี "แรงดึงดูดของโลก" แต่ยังไม่ทราบว่ามี "แรงดึงดูดของฟ้า" "แรงดึงดูดของมนุษย์" สิ่งใดที่ลอยขึ้นฟ้านั้นก็คือเป็นผลแห่งแรงดึงดูดของฟ้า สิ่งทึบที่ถ่วงลงนั้นก็คือดินเป็นผลแห่งแรงดึงดูดของธรณี เกิดความอยากความใคร่เป็นผลแห่งแรงดึงดูดของมนุษย์ เมื่อมีแรงดึงดูดสามประเภทนี้แล้ว จึงร่วมกันสร้างให้มีสัตว์โลกทุกชนิด เพราะเหตุว่าในจำพวกสัตว์สี่ชนิด ทางเกิดของสัตว์ล้วนแล้วแต่มีกรรมเวรหนักหนาในชาติก่อนทั้งนั้นเมื่อตายลงก็ถูกความแรงแห่งธรณีดูดดึงเอา จึงต้องตกลงยมโลกรับการพิจารณาโดยอัตโนมัติ หากว่าผู้ที่ได้บำเพ็ญธรรม ดวงวิญญาณเบาและแจ่มใสเปล่งปลั่งก็ลอยขึ้นบนฟ้าโดยอัตโนมัติถึงยมทูตจะคุมตัวมาแดนนรกก็ไม่สามารถทำได้ ประหนึ่งว่าลูกโปร่งขนาดใหญ่ซึ่งมีแก๊สอัดเต็มอยู่ภายใน ลอยอยู่บนอากาศคนจะดึงมันไว้ แต่กลับถูกมันดึงลอยไป ดังนั้นชาวมนุษย์จะเป็นพระอรหันต์เทวดา เป็นภูตผี ล้วนต้องอาศัยธรรมที่ตนบำเพ็ญในมนุษยโลก ส่วนที่จะช่วยกู้วิญญาณบิดามารดานั้นต้องอาศัยบุญกุศล มิเช่นนั้นแล้วจะจ่ายเงินเป็นพันๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ผู้ที่จะช่วยเหลือกอบกู้บรรพบุรุษนั้น เจ้าตัวต้องประพฤติดี บำเพ็ญธรรมในตัวเอง แล้วยังจะต้องมีการสร้างพิมพ์แจกหนังสือธรรมด้วย เป็นงานกุศลใหญ่ยิ่งอันดับหนึ่ง

ดังนั้นพระอรหันต์เทวดาจุติสู่โลก จุดประสงค์ที่จะช่วยกู้มวลมนุษย์เป็นจุดใหญ่อันดับแรก และคัมภีร์หนังสือธรรมก็คือเสียงสวรรค์อรหันต์จากเทวดา เป็นหลักแก่นสำคัญในการประพฤติบำเพ็ญทางจิตใจ ฉะนั้นการเผยแพร่ตำราคัมภีร์พิมพ์หนังสือธรรมนั้น จึงเหมาะสมตรงต่อความมุ่งหมายของพระอรหันต์เทวดา มีความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่โดยอาศัยความดี กุศลกรรมนี้ส่งย้อนไปยังวิญญาณของบรรพบุรุษ เป็นทางเดินที่สะดวกในการพ้นทุกข์ ถ้าหากจะสวดมนต์กอบกู้ชักนำต้องมีตำราหนังสือธรรมเป็นที่พึ่งเสียก่อน จุดนี้แหละชาวโลกควรจะรู้ไว้ นอกนั้นเช่นช่วยเหลือจุนเจือคนยากคนจน ส่วนสาธารณกุศลก็เป็นสิ่งที่สมควรกระทำอีกอย่างหนึ่ง

           แต่ละสิ่งล้วนมีวิญญาณสิงอยู่ เว้นเสียแต่ต่างกันในรูปร่างเท่านั้น มีวิญญาณที่ปราดเปรื่องเหมือนมนุษย์  ชาวโลกชอบกินอาหารพวกเนื้อ แน่นอนละ ต้องการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง แต่ไม่คิดว่าสัตว์สี่ชนิดล้วนเป็นการแปลงกายมาจากมนุษย์ที่มีบาปเวรชั่วร้าย ร่างของมันมีธาตุแห่งไม่ซื่อสัตย์สุจริตชนิดหนึ่ง และตอนที่มนุษย์ฆ่ามันตายนั้น มันก็ดิ้นรนเพื่อจะหนีเอาชีวิตรอดในใจหวาดกลัว การหมุนเวียนของโลหิตทั่วกายก็ผิดปรกติเครื่องในทุกส่วนเกิดมีสารพิษ เมื่อมนุษย์ฆ่ามันตายแล้ว ดื่มกินเลือดเนื้อของมัน แม้จะมีประโยชน์ แต่ส่วนมีโทษได้หลบสิงอยู่ภายใน หากมนุษย์เกิดมีอาการเกร็งเครียดขณะหวาดหวั่นตกใจกลัว โลหิตก็แปรสภาพ ถ้าประสบเหตุการณ์ชนิดนี้บ่อยๆ เข้า ร่างกายจะต้องเกิดเจ็บป่วยลง นี่คือการเจ็บป่วยที่เกิดจากจิตใจ มนุษย์ที่แข็งแรง หน้าตามีน้ำมีนวล ราศีเปล่งปลั่ง ถ้าหากตายลง ทั่วร่างกายก็ปรากฏสีเขียวดำ เรียกว่าศพ เมื่อมนุษย์กินซากศพของพวกสัตว์ ก็มีสารที่ไม่สะอาดอยู่แล้ว มีทั้งประโยชน์และให้โทษอยู่คู่กัน พวกนักวิทยาศาสตร์ก็เคยแนะนำให้กินแบบมังสวิรัติ (กินเจ) เลี้ยงชีพ บรรดาผู้ที่บำเพ็ญธรรมแม้ว่าจะไม่สามารถตัดขาดการกินของมีชีวิต ก็ควรที่กินน้อยลงจะดีกว่า เพื่อไม่ให้ธาตุสกปรกเต็มตามร่างกาย มิเช่นนั้นแล้วจะชำระสะสางผลธรรมให้หมดจดบริสุทธิ์ก็ทำได้ยากมาก การกล่าวถึงว่าจะบาปหรือไม่บาปนั้น ยังเป็นประเด็นที่รองลงมาเป็นอันดับสอง

ลิงนั้นการเดินเหินคล้ายมนุษย์ สมองก็ฉลาดเฉลียวมาก ต้องโทษตัวเองเมื่อชาติก่อนเป็นผู้ที่หลงตัวเองในความฉลาดของตน ดังนั้นชาตินี้จึงตกลงมาเกิดอยู่ในร่างของสัตว์ส่วนนกแก้วแม้จะสามารถเรียนคำพูดจากมนุษย์ แต่ชาติก่อนที่เป็นมนุษย์อยู่นั้นชอบเล่นลิ้นเปล่งวาจากล่าวร้ายทำให้ผู้อื่นล้มตาย บ้านแตก ชาตินี้จึงต้องเข้าไปอยู่ในกรง ฟังคนอื่นเขาพูด เรียนคำพูดจากมนุษย์ มีแต่ปากอันคมคายเสียเปล่า ดังเช่นเสียดายที่วีรบุรุษไม่มีทางที่แสดงฝีไม้ลายมือ บรรดาผู้คนในโลกที่ทำอะไรลงไปทุกอิริยาบถ ถ้าขัดต่อหลักกฎและหลักธรรมแล้วเมื่อตายลงต้องตกเป็นสัตว์บก สัตว์ปีก ไม่มีวันสุดสิ้น สมควรจะตระหนักรู้ตัวให้ดี

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เมตตาธรรม (...พึงพิจารณา ?) - จากหนังสือศึกษาคัมภีร์ทางสายกลาง โดย อนัตตา


เมตตาธรรม 

ความเมตตาของปุถุชนมิได้เกิดจาก ธรรมญาณ หรือ ความเป็นกลาง ย่อมมีเงื่อนไข กาลเวลา ชนชั้น และต้องการค่าตอบแทน เพราะเหตุนี้คำกล่าวที่ยีนยันความจริงข้อนี้จึงมีอยู่ว่า

" ยามรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน ยามชังแม้น้ำตาลยังว่าขม "

เมตตาของปุถุชนจึงเป็นสิ่งจอมปลอม เมื่อสิ้นเหตุปัจจัยย่อมหมด "เมตตา" ได้ง่าย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่าปุถุชนไร้เมตตา มีแต่ความเห็นแก่ตัว จึงก่อทุกข์สถานเดียว 

เมตตา เช่นนี้จึงไม่อาจค้ำจุนโลก มีแต่ทำลายโลกและทำลายตนเอง ปุถุชนจึงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามปากพูดอย่างหนึ่ง แต่กระทำอีกอย่างหนึ่ง

อย่างกรณีการทำบุญตักบาตร ปากพร่ำบ่นว่า "สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายอันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงอย่าได้มีเวรแก่กันและกัน จงอย่ามีความอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงเป็นสุข ๆ เถิด " แต่อาหารที่ใส่ลงไปในบาตรนั้นล้วนเป็นชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เขาจึงทำตรงกันข้ามกับปากที่พูด หากจะพูดตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ก็ต้องกล่าวว่า "สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายอันเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงได้มีเวรแก่กันและกัน จงมีความอาฆาตพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน จงเป็นทุกข์ ๆ เถิด"

ดังนั้นการทำบุญของปุถุชนจึงมีบาปปนเปไปด้วย ถ้าพิจารณา " เมตตา " อันเป็นทางสายกลางของพระอริยเจ้าทั้งสามพระองค์ ประกอบไปด้วย พระพุทธเจ้า ท่านเหลาจื้อ ท่านขงจื้อ จะเห็นความเป็นจริงว่า เป็นเมตตาที่ตรงต่อ " ทางสายกลาง " ชัดเจนที่สุด ทั้งสามศาสนามีคำพูดอย่างเดียวกันเพียงแต่ภาษาต่างกันเท่านั้นเอง

ท่านเหลาจื้อ    ให้บำเพ็ญ ธาตุไม้ (มู่)
ท่านขงจื้อ        ให้บำเพ็ญ เมตตา (เหยิน)
พระพุทธเจ้า     ให้รักษาศีล ปาณาติปาตา เว้นจากการเบียดเบียนชีวิตสัตว์ 

ธาตุไม้ในตัวคน เมตตา ล้วนเป็นสิ่งที่สงบเยือกเย็น เป้นผู้ให้โดยปราศจากข้อผูกมัดใด ๆ ทั้งสิ้น เมตตาที่แท้จริง จึงประกอบไปด้วยลักษณะ 4 ประการ...

1. ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดใด ๆ จะเป็นญาติ หรือคนที่รัก หรือชัง ล้วนได้รับความเมตตา
2. ไม่มีเวลาจำกัดไม่ว่าจะตายไปแล้วหรือล่วงไปนานเท่าใดก็บังเมตตา
3. ไม่ต้องการค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น แม้เมตตาแล้วจะได้รับผลเลวร้ายก็ยังคงเมตตา
4. ไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะสูงส่งต่ำต้อย ยากไร้อย่างไร ก็ได้รับความเมตตาเท่าเทียมกัน

ความเมตตาเช่นนี้จึงมีค่า " ค้ำจุนโลก " ได้หรือมิได้ทำลายสรรพชีวิตใด ๆ เลย มีแต่ทำให้ชีวิตทั้งปวงเจริญงอกงามขึ้นมาดั่งฟ้าดินที่ให้ทุกสิ่งอย่างแก่ชีวิตโดยไม่ต้องการผลตอบแทนและเงื่อนไขใด ๆ ทุกชีวิตต่างได้รับ อากาศ น้ำ ยืนอยู่บนแผ่นดินเท่าเทียมกัน ความเมตตาธรรมเช่นนี้จึงทำให้ชีวิตมีความสุขอันแท้จริง เพราะฉะนั้นถ้ามนุษย์เรียนรู้เมตตาเช่นนี้จึงก่อให้เกิด สันติสุขแก่ตนเองและชาวโลกทั้งปวง แต่ถ้าประพฤติผิดต่อหลักสัจธรรมของเมตตา ย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกายเพราะคนที่ไร้เมตตามักจะเป็นผู้ที่มีโทสะจริตครอบงำ โมโหโกรธามาก ๆ ย่อมกระทบกระเทือนต่ออวัยวะสำคัญของร่างกาย คือ " ตับ " ถ้าตับเสีย ย่อมมีผลต่อการกรองของเสียจากอาหารที่เข้าสู่ร่างกาย ผู้บำเพ็ญ " เมตตา " อย่างแท้จริงและตรงต่อทางสายกลางจึงเป็นการกำจัด " โทสะ " ได้และย่อมมีผลต่อร่างกายของผู้นั้นเอง หน้าตาจึงผ่องใสยิ้มแย้ม 

ผู้มีเมตตาธรรม อันตรงต่อสัจธรรมจึงไม่รับประทานเนื้อสัตว์ เพราะถือเป็นการเบียดเบียนชีวิต พืชผักสีเขียวจึงเป็นคุณต่อตับ "ยกเว้นเพียง กุ้ยฉ่าย เท่านั้นที่เป็นพิษต่อตับ" และเพื่อ "รักษา ตับ" มิให้กระทบกระเทือนรสชาดของอาหารจึงหลีกเลี่ยง " รสเปรี้ยวจัด " การดำรงเช่นนี้จึงเป็นทางสายกลางอันนแท้จริง เมื่อทั้ง " กาย " และ " จิต " อยู่ในทางสายกลาง ความเมตตาจึงมีพลานุภาพต่อสรรพชีวิต ความหมาย " แห่ง เมตตา " จึงทนมิได้กับความทุกข์ยากของผู้อื่น "ความกรุณา" จึงใคร่แบ่งปันความสุขของตนเองเพื่อให้คนอื่นมีความสุขเยี่ยงเดียวกัน 

ครั้งหนึ่งผู้เขียนควรชวนเพื่อนคนหนึ่งให้เข้าปฏิบีติธรรม แต่เขากลับตอบว่า "อ้าว ก็ทางสายกลางซีครับ " ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่า จิตใจของคุณเป็นเช่น ฟ้า ดิน น้ำ อากาศ อย่างนั้นละซี "ไม่ใช่ อยากกินก็กิน อยากเที่ยวก็เที่ยว ไม่เบียดเบียนให้ใครเดือดร้อนเป็นใช้ได้ " แล้วนี่เบียดเบียนตัวเองล่ะ ใช้ได้หรือไม่ การสนทนานั้นจบลงตรงที่ฝ่ายเพื่อนนั่งนิ่งเงียบ เพราะเขาคงได้คิดว่า เมตตาธรรมมิได้หมายความว่า เมตตาต่อผู้อื่นแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แท้ที่จริงยังต้องเมตตาต่อตนเองด้วย "ไม่สร้างกรรมให้ชีวิตจริงของตนเองต้องตกต่ำลงสู่ห้วงเหวแห่งนรกนั่นเอง" ถ้าธรรมญาณตกต่ำออกทางหู ย่อมไปเกิดเป็นตังมิ้ง ออกทางปากย่อมไปเป็นปลาวาฬ เพื่อบำเพ็ญ "เมตตา" ให้สมบูรณ์นั่นแล

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

"เนื้อสัตว์ที่ศิษย์กินเข้าไปทุกชิ้น ก็เป็นเวรกรรม" - พระโอวาทพระพุทธจี้กง เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา - พระพุทธจี้กงเมตตาประทานพระโอวาทกล่อมเกลา ความว่า...

          "เนื้อสัตว์ที่ศิษย์กินเข้าไปทุกชิ้น ก็เป็นเวรกรรม เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทุกๆครั้งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเขารายล้อมรอบตัวเราพร้อมที่จะดึงทึ้งทำร้ายเราทุกเมื่อ เมื่อเขามีโอกาส"

           วันนี้มาอยู่ที่นี่ฟังธรรมะ เขาพูดเรื่องการกินเจกันทั้งวันตอนนี้เรารู้ว่า การกินเนื้อเขานั้นเป็นบาป เป็นอกุศล แต่เราติดอะไร เรามีนิสัยความเคยตน คือติดรสชาติที่เราปรุงแต่งขึ้นใช่หรือเปล่า แล้วเราก็ติดในสิ่งนี้รสชาติเกิดที่อวัยวะส่วนไหนของร่างกาย(ลิ้น) ลิ้นมีกี่นิ้ว(สามนิ้ว) ร่างกายมีนับไม่ถ้วนนิ้ว สูงก็สูง ใหญ่ก็ใหญ่ แต่แพ้ลิ้นสามนิ้ว ถ้าหาก เอาเนื้อสัตว์แดงสดๆ ให้ศิษย์จะกินไหม ? (ไม่กิน) เพราะไม่อร่อย กลัว พยาธิ กลัวโรคภัยไข้เจ็บ แต่ปรุงแล้วเราก็กล้ากิน การปรุงก็คือเราเป็น ผู้ปรุง เปรียบเสมือนกิเลสที่มีในใจของเรา เสื้อสวยสักตัวก็คือผ้าหนึ่งผืนบ้านสวยหลังหนึ่งก็คือ อิฐ ปูน ทราย รกเก๋งคันใหญ่ก็คือเหล็กอันหนึ่ง จริงๆ แล้วเนื้อสัตว์ที่กองอยู่ในจานอาหารบนโต๊ะของเราก็คือ ไก่ที่ร้อง ได้ กะพริบตาได้ หมูในจานก็คือหมูตัวหนึ่งที่เคยมีชีวิตและพร้อมที่จะ วิ่งชนเรา ถ้าเราทำร้ายเขา เพียงแต่ตอนนี้เขาตายไปแล้วไม่มีชีวิต ไม่มีเรี่ยวแรงต่อสู้ โกรธก็ได้แต่โกรธอยู่ในใจ กรรมก็เป็นของเรา เมื่อมี กรรมแสดงว่าเราต้องหากุศลมาทดแทน มาใช้คืน

           ศิษย์กินเนื้อสัตว์ทุกวัน แต่หากุศลทุกวันไหม ถ้าศิษย์กินทุกวันต่อให้หากุศลคืนเขาได้ทุกวันก็แค่เท่าตัวจะมีกุศลเหลือพอไปเป็นพุทธะไหม ?  กินเจไม่มีกุศลเพียงแต่ไม่สร้างกรรม ฝึกเมตตาจิตของตนเองให้เรานั้นเป็นผู้ที่มีเมตตาสูงขึ้น อันเป็นคุณธรรมที่สมควรจะฝึกฝนอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นตอนนี้สิ่งที่รู้แล้วเราไม่ทำ กลับไปบ้านแล้วเราก็ยังกินเนื้อสัตว์ ครั้งแรกพลาด ครั้งที่สองเขาเรียกว่า เผลอ ครั้งที่สามเรียกว่าตั้งใจ บาปไหม ? (บาป) คนที่ผิดซ้ำสองซ้ำถามอย่างนี้เป็นพุทธะได้หรือเปล่า เพราะฉะนั้น วันนี้เรามาฟังธรรมะมองคนรอบข้างเขาทำสิ่งใดที่เราควรจะเลียนแบบบ้าง อย่างเช่นเขากินเจใช่หรือเปล่า ไม่ต้องมองว่าเขาพูดจาเสียงดังไม่เกรงใจเราเลย ให้มองแต่สิ่งที่ดี ๆ เหมือนหนังสือที่เราดู หนังสือธรรมะควรจะดูไหม (ดู) หนังสือโป๊ๆเปลือยๆ ควรดูไหม (ไม่ควร)
           เพราะฉะนั้น... ต้องระวังตนเอง เนื้อสัตว์ที่ศิษย์กินเข้าไปทุกชิ้น ก็เป็นเวรกรรม เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นทุกๆครั้งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเขารายล้อมรอบตัวเราพร้อมที่จะดึงทึ้งทำร้ายเราทุกเมื่อ เมื่อเขามีโอกาส อาหารเจกับอาหารเนื้อสัตว์ อะไรอร่อยกว่ากัน ? (เจ) อย่างนี้กินอาหารเจดีไหม ? (ดี) กินตลอดชีวิตเลยได้หรือไม่ ? (ดี)

           สิ่งที่ศิษย์ได้ศึกษาอยู่ขณะนี้อาจารย์บอกได้ว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดขออย่าได้นำธรรมะที่ศิษย์รับไปนั้นไปเปรียบเทียบกับสิ่งใด ศิษย์ลองมองดูสิว่าร่างกายหนึ่งร่าง มีดวงจิตหนึ่งดวงใช่ไหม การที่ธรรมลงมาโปรดในโลก ไม่ใช่ว่าตอนนี้จึงจะโปรด แต่โปรดมานานแล้ว โดยที่ศิษย์ไม่รู้ ในครานี้เป็นโอกาสเปิดกว้าง โปรดธรรมะลงสู่ปุถุชน ศิษย์เองเป็นปุถุชน เพราะฉะนั้น โอกาสนี้ควรมิควรที่ศิษย์จะรักษาไว้ (ควร) ถ้าศิษย์บำเพ็ญในยุคสามที่เปิดกว้างนี้ อาจารย์บอกได้เลยว่า คนที่บำเพ็ญนั้นสามารถจะหลุดพ้นได้ อยู่แต่เพียงว่าจะบำเพ็ญได้ทันแค่ไหนเท่านั้น ชีวิตคนมีร้อยปี ถ้าบำเพ็ญวันละ 2 นาที จะทันไหม (ไม่ทัน) วันหนึ่งยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าทุกเวลาทุกนาที ศิษย์รู้จักมองตนเองแก้ไขตนเองแล้วสร้างกุศลให้มากๆ ตามกำลังที่จะทำได้ การที่ศิษย์ได้รู้ที่ตั้งแห่งจิตนี้จึงสามารถที่จะหลุดพ้นได้ แต่กรรมก็ต้องใช้ให้หมดด้วยชีวิตนี้เกิดมาเราอายุไม่เท่าไร แต่ที่ผ่านมากี่ภพกี่ชาติก็ต้องใช้กรรมที่สะสมมาให้สิ้น ทำอย่างไรจะใช้กรรมหมดล่ะ(สร้างกุศลเร่งบำเพ็ญธรรม)

          อาจารย์ถามคำถามง่ายก็จริง แต่อย่าคิดว่าคำตอบนี้ง่าย เพราะว่าแต่ละคำตอบย่อมต้องนำกลับไปปฏิบัติจึงจะได้ผล มีคนคิดว่าถามคำถามอะไรก็ไม่รู้ แต่ศิษย์ควรจะรู้คำตอบนี้ ตอบแล้วต้องทำให้ตลอดชีวิต ถ้าได้แต่ตอบไม่นำกลับไปทำก็ไม่มีค่า ต่อให้ธรรมะล้ำค่ากว่านี้แต่ศิษย์ไม่ได้นำกลับไปปฏิบัติเลย ทุกวันนอนอยู่กับบ้านแล้วก็ออกไปสังสรรค์ ขับรถกลับมาบ้านเหนื่อยขอนอน ที่สุดแล้วชีวิตก็เป็นปุถุชนแล้วจะพูดอะไรถึงพุทธะ ตอนนี้ทุกเวลาทุกนาทีของเรามีค่าไหม เราไม่รู้ว่าเราจะเกิดความท้อถอยวันไหน ชีวิตของเราจะตกอับในวันไหนเรารุ่งเรืองแล้วเราจะลืมตัวหรือเปล่า เราไม่สามารถจะคาดคะเนชีวิตของเราได้เลย บางคนเกิดความกลัวหรือเกิดคาดหวังก็ชอบไปดูหมอดูแต่มนุษย์ก็พูดไว้ได้ดีว่า หมอดูคู่กับอะไร (หมอเดา) ชีวิตของเราจะสำเร็จต้องไปดูหมอดูไหม ? (ไม่จำเป็น)

         ชะตาชีวิตของเรานั้นเปลี่ยนได้แม้ว่าชะตาชีวิตของศิษย์จะเป็นเช่นนี้ แต่หากว่าศิษย์รู้จักที่จะแก้นิสัยความเคยชินของตัวเอง ในที่สุดชะตาชีวิตของเราก็จะเปลี่ยน ถ้าหากทุกวันศิษย์ชอบเดินไปในทางที่มีท่อที่เขาขุดไม่เสร็จวันหนึ่งก็ต้องตกท่อแต่ถ้าศิษย์แก้ไขทางเดินให้ราบเรียบ ถึงศิษย์เดินไปอีกสิบหนแม้หมอดูบอกว่าต้องตกท่อตาย แล้วจะตกไหม ? (ไม่ตก) เพราะฉะนั้น จะแก้ไขวิถีทางชีวิตแห่งปุถุชนของตนให้ดีขึ้นอย่างไร (กินเจ...ไม่สร้างเวรกรรมเพิ่มขึ้น) เช่นนั้น งดเบียดเบียนสัตว์ งดกินเนื้อสัตว์ดีไหม ?






บทความที่ได้รับความนิยม