เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ตุณฑิลชาดก - ชีวิตเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย

ตุณฑิลชาดก 


มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้บวชในพระพุทธศาสนา แต่มีนิสัยเป็นภิกษุกลัวตายมาก เพียงได้ยิน เสียงกิ่งไม้สั่นไหว ท่อนไม้ตก นกหรือสัตว์สี่เท้าร้อง แม้เสียงอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆเท่านั้น ก็เป็นผู้ตกใจ กลัวง่ายรู้สึกเหมือนถูกภัย คือความตาย ขู่คุกคามจิตใจถึงกับเดินตัวสั่นเทิ้มไป ราวกับกระต่ายถูกหลาวแทงเข้าที่ท้อง ฉะนั้น

จากเหตุนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงพากันสนทนา ในธรรมสภาว่า

ดูก่อนอาวุโส (ภิกษุแก่พรรษากว่าเรียกภิกษุที่อ่อนพรรษากว่า ว่าอาวุโส) ภิกษุรูปนั้น ช่างกลัวตาย ยิ่งนัก แค่ได้ยินเสียงอะไร ผิดปกติเล็กน้อย ก็ร้องพลางวิ่งพลาง หนีไปเสียแล้ว แทนที่ จะตั้งสติมนสิการ (กระทำในใจ) ว่า ก็ความตายของสัตว์ทั้งหลายเท่านั้น ที่เป็นของเที่ยง แต่ชีวิตนี้ ไม่เที่ยงเลย

ขณะนั้นพระศาสดาเสด็จมาถึง ตรัสถามว่า"พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไรกันอยู่"

ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ พระศาสดาจึงตรัสสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมา แล้วตรัสถาม

"เราได้ยินมาว่า เธอกลัวตายจริงหรือ"
"ถูกแล้วพระเจ้าข้า"

ได้คำตอบอย่างนั้น พระศาสดาจึงทรงหมายจะอบรมสั่งภิกษุทั้งหลาย โดยเอาเรื่อง ของภิกษุนั้น เป็นต้นเหตุ

"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่เฉพาะในปัจจุบันนี้เท่านั้น แม้ในชาติกาลก่อน ภิกษุนั้น ก็กลัวตายมาก เหมือนกัน" แล้วทรงนำเรื่อง ในอดีตมาตรัสเล่า

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัต ครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี

ปรากฏมี หมูท้องแก่อยู่ตัวหนึ่ง เป็นหมูที่มีนิสัยขี้ตกใจง่าย ครั้นพอครบกำหนด ก็ออกลูกมา ๒ ตัวเป็น ตัวผู้ ณ บริเวณไร่ฝ้ายแห่งหนึ่งแล้ว เลี้ยงดูลูกอ่อนทั้งสอง อยู่ที่บริเวณนั้น

อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่นอนหลับสนิทอยู่ในหลุมดิน พร้อมกับลูกๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่นตกใจกลัว เพราะได้ยิน เสียงกระทบดินตุบๆ ดังใกล้เข้ามาทุกทีๆ ด้วยความกลัว ก็รีบลนลาน ลุกขึ้น วิ่งหนีไปจากหลุมนั้น อย่างเร็ว ทิ้งลูกน้อยทั้งสอง เอาไว้ในหลุมนั้น

ที่แท้แล้วมีหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งปกติอยู่บ้านใกล้ประตูนครพาราณสี เก็บฝ้าย ได้เต็มกระบุง จากไร่ฝ้ายแล้ว ก็เดินเอาไม้เท้า ยันพื้นดินมา ด้วยเสียงอันดัง เสียงนี้เอง ที่ดังแปลกๆ ทำให้แม่หมู ตกใจหนีไป เพราะความ กลัวตาย

หญิงชรา เมื่อเห็นแม่หมูวิ่งไป อย่างไม่คิดชีวิต จนไกลลิบหายไป ก็ให้นึกสงสารลูกหมู ที่ร้องหาแม่ อยู่ในหลุม จึงเอากระบุง ใส่ลูกหมูทั้งสอง นำไปเลี้ยงดูไว้ ที่เรือนของตน ตั้งชื่อ ให้ลูกหมูตัวพี่ว่า มหาตุณฑิละ ตัวน้องชื่อว่า จุลตุณฑิละ

ลูกหมูทั้งสองได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี เสมือนดังเป็นลูกรัก ของหญิงชรานั้น จนกระทั่ง เติบใหญ่ สมบูรณ์ มีร่างกายอ้วนพี ชาวบ้านแถวนั้น จึงมักทาบทามหญิงชราว่า

"จงขายหมูทั้งคู่นั้น ให้แก่ฉันเถิด ฉันจะให้ราคา อย่างงามเชียว"
แต่หญิงชรา ยืนยันเด็ดเดี่ยว เสมอว่า
"ลูกของฉัน ฉันไม่ขาย"
แล้วไม่ยอมขายให้แก่ใครๆ เลย แม้สักคนเดียว

จนกระทั่งวันหนึ่งในงานมหรสพ มีพวกนักเลงสุรากลุ่มหนึ่ง ร่วมวงกันดื่มสุรากันสนุกสนาน เมื่อเนื้อกับ แกล้มหมด ก็พากันหารือว่า "เฮ้ย พวกเราน่าจะหาซื้อเนื้อ มาทำกับแกล้มเพิ่ม เอ! แล้วจะไปหา จากที่ไหน ดีหว่า"

คุยกันไปคุยกันมา ก็ได้ผลว่า ที่บ้านของหญิงชรานั้น เลี้ยงหมูเอาไว้ ดังนั้น จึงพากันถือไหเหล้า ตรงไป ยังที่นั้น แล้วถามว่า

"ยาย.......ยาย....... คุณยาย ขอให้คุณยายช่วยรับเอาเงินนี้ไว้ แล้วให้หมูตัวใดตัวหนึ่ง แก่พวกผม เถอะนะ"
จบคำของนักเลงสุรา หญิงชราก็ปฏิเสธทันควันว่า

"ไม่ได้หรอกหลานชาย หมูทั้งสองตัวนั้น เป็นเสมือนลูกฉันจริงๆ ฉะนั้น แม่ที่ดี จะให้ลูก ของตัวเอง แก่คนที่ต้องการจะกินเนื้อลูกตนนั้น ไม่มีหรอก"

แม้ถูกปฏิเสธ แต่พวกนักเลงก็ยังคงเซ้าซี้ เฝ้าอ้อนวอนแล้ว อ้อนวอนเล่าอยู่

"โธ่ ยาย ขึ้นชื่อว่าหมู มันเป็นเพียงสัตว์ จะให้เป็นลูกของคนจริงๆนั้น ไม่มีเสียล่ะ ยายอย่า เพ้อฝันไปเลย ขายมัน ให้แก่พวกฉันเถอะน่า"

ถึงจะพูดยังไงก็ตาม ก็ไม่สำเร็จ

จนสุดท้ายพวกนักเลงสุราจึงวางแผนใหม่ ชักชวนหญิงชราให้ดื่มเหล้า กระทั่งเห็นเมามายได้ที่แล้ว ก็หลอกว่า

"ยายจ๋า ..... หมูน่ะ! จะเลี้ยงมันเอาไว้ ให้ยากจนอยู่ทำไม นี่สิ!เงิน ยายเอาค่าหมู ไปเก็บไว้ ใช้จ่ายดีกว่านะ"

แล้วก็วางเหรียญกษาปณ์ (เงินตราที่ทำด้วยโลหะ) ใส่ไว้ในมือของหญิงชรา หญิงชรา ก็รับไว้ ด้วยสติเลอะเลือน จากฤทธิ์สุรา แล้วกล่าวว่า

"หลานเอ๋ย... ยายไม่อาจตัดใจให้ลูกมหาตุณฑิละได้ พวกเจ้าจงเอาลูกจุลตุณฑิละไปเถอะนะ"

"ก็ได้! แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ"

"โน่นแน่ะ! ที่กอไม้กอโน้น"

"อ้าว! ก็ดีสิ ยายช่วยส่งเสียงเรียกมันมาได้เลย"

"แต่ฉันต้องใช้อาหารล่อ ถึงจะเรียกลูกมาได้เร็วไว"

ได้ฟังอย่างนั้น นักเลงสุราจึงให้ค่าอาหารอีกส่วนหนึ่ง หญิงชราก็นำไปซื้อข้าว เอามาเท ให้เต็มรางหมู ที่วาง ไว้ใกล้ประตู แล้วจึงมายืนอยู่ใกล้ๆ ราง ส่วนพวกนักเลงสุรา ก็ตระเตรียมบ่วง พร้อมไว้ในมือ ยืนรออยู่ที่ตรง นั้นเช่นกัน จากนั้น หญิงชรา ก็ส่งเสียงร้องเรียกว่า

"ลูกจุลตุณฑิละจงมา ลูกจุลตุณฑิละ จงมากินอาหารเถิดลูก"

เสียงดังไปถึงกอไม้นั้น มหาตุณฑิละ ก็นึกแปลกใจขึ้นมาทันทีว่า "ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม่เราไม่เคยเรียกจุลตุณฑิละก่อนเลย มีแต่เรียกเราก่อนทั้งนั้น แล้วคราวนี้ ไฉนเรียก แต่น้องเรา ตัวเดียวเล่า วันนี้ดูจะมีอะไรที่ผิดแปลกไป อาจจะมีภัย เกิดขึ้นแก่พวกเรา เป็นแน่แท้"

คิดอย่างนี้แล้ว มหาตุณฑิละจึงเรียกน้องชายมา บอกว่า "น้องเอ๋ย แม่ของเราเรียกหาเจ้า เจ้าจงไปซุ่มแอบดูให้รู้เรื่องก่อน ว่าเป็นเหตุใดกันแน่"

จุลตุณฑิละจึงออกจากกอไม้ไปลอบดูอยู่ ครั้นเห็นพวกนักเลง ยืนถือบ่วงอยู่ใกล้รางข้าว ก็รู้ทันทีว่า
"วันนี้ความตายคงจะมาถึงเราแล้วแน่ มรณภัย คุกคามรอเราอยู่ข้างหน้านี้เอง"

คิดแล้วก็หวาดกลัวความตายสุดใจ จึงหันกลับวิ่งหนีด้วยอาการสั่นทั้งตัว ไปหาพี่ชาย พอถึงแล้ว ก็ไม่อาจ จะยืนสงบ อยู่ได้ ตัวสั่นเทิ้มหมุนไปรอบๆ มหาตุณฑิละเห็นเช่นนั้น ก็รีบถามว่า

"น้องเอ๋ย วันนี้เจ้าหวาดกลัวอะไรมากมายปานฉะนี้ ถึงกับตัวสั่น หมุนพล่านอยู่"

จุลตุณฑิละจึงตอบด้วยเสียงสั่นสะท้านว่า

"วันนี้แม่เราเทข้าวใหม่เต็มรางข้าว แล้วยืนเรียกอยู่ ใกล้ๆ รางข้าวนั้น แต่มีอีกหลายคน มือถือบ่วงอยู่ใกล้ๆ ด้วย ทำให้อาหารนั้น ไม่น่าอร่อยเสียแล้ว ฉันไม่อยากไปกินข้าวนั้นเลย"

ฟังคำบอกเล่าแล้ว มหาตุณฑิละก็รู้ได้ด้วยปัญญาทันที จึงส่งเสียงดังก้องกังวานไกลขึ้นว่า

"น้องจุลตุณฑิละ จงรู้ไว้เถิดว่า ธรรมดาแม่ของเราเลี้ยงดูสุกรไว้ที่นี่ ย่อมเลี้ยงเพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้น ของเจ้า ได้ถึงที่สุด อย่างนั้นแล้ว ในวันนี้ ฉะนั้น จงอย่าคิดเสียใจเลย เจ้าอย่าสะดุ้งกลัวภัย จนตัวสั่น หมุนไป หมุนมา อย่าซ่อนเร้น อย่าหลบหนีไปไหน แม้จะไม่มีใครขัดขวาง ก็ตามที

"จุลตุณฑิละเอ๋ย น้องจงยินดีไปกินอาหารนั้นเถิด เพราะพวกเราถูกแม่นำมาเลี้ยงไว้ ก็เพื่อ ต้องการเนื้อ เป็นที่สุด ฉะนั้น เจ้าจงลงสู่ห้วงน้ำ ที่ไม่มีโคลนตม ชำระล้าง เหงื่อไคลทั้งหมด แล้วอาบทาด้วย เครื่องลูบไล้ใหม่ ซึ่งแต่ไหน แต่ไรมา มีกลิ่นหอม ไม่ขาดสายเลย"

ขณะที่มหาตุณฑิละสอนน้องอยู่ ให้กตัญญูต่อผู้มีคุณ และให้แกล้วกล้า ไม่กลัวตาย ยอมตอบแทน บุญคุณ ของหญิงชรานั้น เสียงธรรมได้กระจายดังก้อง ไปทั่วนคร พาราณสี เป็นที่น่าอัศจรรย์ ใหญ่หลวงนัก

ผู้คนทั้งหลาย ในนครพาราณสี ใครก็ตามที่ได้ยินเสียงธรรมแล้ว ได้พากันออกแสวงหา ติดตาม เสียงนั้นมา มีตั้งแต่พระราชา กระทั่งถึงยาจกเข็ญใจเลยทีเดียว ผู้คนทั้งหลาย เมื่อมาถึง บริเวณ กอไม้นั้น เหล่าราชบุรุษ ของพระราชา พากันถางพุ่มไม้ ปรับพื้นที่ ให้ราบเรียบ เพื่อทำเป็น ที่นั่งฟังธรรม แม้แต่ ร้านรวง ที่ขายสุราอยู่ก็ งดขาย มุ่งมาสู่ที่นี้ ส่วนพวกนักเลงสุรา ในที่นั้น ก็พากันทิ้งบ่วงในมือ แล้วยืน ฟังธรรม อยู่ในที่นั้นเช่นกัน ฝ่ายหญิงชราเอง ก็ได้สติ แจ่มใสขึ้น หายเมา เป็นปลิดทิ้ง

ในเวลานั้นเอง....เป็นขณะที่จุลตุณฑิละ กำลังงุนงงสงสัยอยู่ว่า

"พี่ของเราช่างพูดแปลกนักในวันนี้ ก็ตระกูลบรรพบุรุษของเราที่เคยมีมา ไม่มีการลงสู่ห้วงน้ำ แล้วจะอาบน้ำ ชำระล้างเหงื่อไคลที่ไหน การเอาเครื่องลูบไล้เก่าออกไป เอาเครื่องลูบไล้ใหม่ ที่มีกลิ่นหอมฟุ้ง อาบทา ก็ไม่เคยมีมาเลย พี่เราพูดอย่างนี้ หมายถึงอะไรกันหนอ"

คิดแล้วจึงถามว่า

"ห้วงน้ำอะไรหนอที่ไม่มีโคลนตม? อะไรหนอเรียกกว่าเหงื่อไคล? อะไรหนอคือเครื่องลูบไล้ใหม่? แล้วกลิ่นอะไร ที่ไม่ขาดหายมาแต่ไหนแต่ไรเลย?"

มหาตุณฑิละจึงตอบไปด้วยมุ่งหมายแสดงธรรมให้ปรากฏว่า

"ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงฟังให้ดี ....ธรรมะของบัณฑิตก็คือ ห้วงน้ำที่ไม่มีโคลนตม บาปกรรม ก็คือเหงื่อไคล ศีลก็คือ เครื่องลูบไล้ใหม่ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมา กลิ่นของศีลนั้น ไม่เคยขาดหายไป แม้ในกาลไหนๆ เลย

ส่วนกลิ่นดอกไม้นั้นหอมน้อย ขาดหายง่าย หอมทวนลมไม่ได้ แม้กลิ่นจันทน์ กฤษณา ดอกอุบล ดอกมะลิ ก็ไม่หอมทวนลม

แต่กลิ่นของผู้มีศีลหอมยิ่งกว่านั้น หอมมาก หอมทวนลมไปได้ ฟุ้งขจรไปทั่วทุกทิศ ทั้งในเทวโลก และ มนุษย โลก

ดังนั้นเหล่าคนผู้โง่เขลาไม่มีศีล ผู้ฆ่าสัตว์กินอยู่เป็นปกติ จึงเพลิดเพลินใจ ทำบาป ส่วนผู้รักษาชีวิต สัตว์ทั้งหลายอยู่ ผู้มีศึลไม่ฆ่าเป็นปกติ จะไม่เพลิดเพลินใจ ในการทำบาปเลย

ฉะนั้น ผู้มีปัญญารู้ธรรมะของบัณฑิตแล้ว ย่อมรื่นเริงใจ ดุจดวงจันทร์วันเพ็ญ ผู้รื่นเริงใจ อย่างนั้น เท่านั้น จึงจะกล้าสละชีพเพื่อธรรมะได้

น้องจุลตุณฑิละเอ๋ย คนผู้ไร้ศีล เมื่อทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต จะเพลิดเพลินคือ พอใจว่า พวกเรา ได้กินเนื้ออร่อย จะให้ลูกเมียได้กินบ้าง ไม่รู้โทษของการปาณาติบาตว่า หากปาณาติบาต จนชินชา ทำกันมา สืบต่อมากมายนั้น จะเป็นไปเพื่อให้เกิด ในนรก จะเป็นไปเพื่อ ให้เกิดในกำเนิด สัตว์ดิรัจฉาน จะเป็นไปเพื่อให้เกิด ในลักษณะเปรต ซึ่งผลกรรม ของปาณาติบาต ที่เบาที่สุดก็คือ จะเป็นไปเพื่อให้ เกิดเป็นมนุษย์ ที่มีอายุสั้น

ฉะนั้นเมื่อไม่รู้ คนโง่ย่อมสำคัญบาปว่าเป็นเหมือนน้ำผึ้ง ตลอดเวลาที่บาป ยังไม่ให้ผล แต่เมื่อใด บาปให้ผล เมื่อนั้นคนโง่ก็จะเข้าถึงทุกข์คนเขลาเบาปัญญา จึงมักเที่ยวทำบาปกรรม ที่เป็น เหมือนศัตรู ซึ่งมีผลเผ็ดกรรม ที่มีผลเผ็ดร้อนนั้น ก็ทำให้ตน ต้องมีน้ำตานองหน้า ร้องไห้ไปพลาง เสวยผลกรรมไปพลาง

แล้วเมื่อความตายมาถึงตน สัตว์ทั้งหลายก็พากันสะดุ้งกลัวต่ออาชญา (โทษภัย) กันหมด เพราะชีวิต เป็นที่รัก ของสัตว์ทั้งหลายในโลก ฉะนั้น เอาตนเป็นเครื่องเปรียบเทียบ แล้วก็ไม่ควรเบียดเบียดกัน ไม่ควรฆ่ากัน

"น้องจุลตุณฑิละ เจ้าอย่าเศร้าโศก อย่าร้องไห้เลย ขึ้นชื่อว่าความตาย ไม่ใช้เกิด เฉพาะเราเท่านั้น แม้สัตว์ที่เหลือทั้งหลาย ก็ต้องมีความตายเช่นกัน สัตว์ผู้ไม่มีศึล อยู่ในภายใน ย่อมจะกลัวตาย แต่ผู้สมบูรณ์ ด้วยการประพฤติศีล ย่อมเป็นผู้มีบุญ คือจะไม่กลัวตาย เพราะฉะนั้น เราทั้งสองพึง ยินดีสละชีวิต เพื่อบูชาธรรมเถิด"

มหาตุณฑิละแสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะก้องกังวาน เมื่อสิ้นเสียงจบลง ฝูงมหาชนที่นั่น ต่างพากัน ปรบมือ พร้อมทั้งชูผ้า จำนวนพัน โบกไสว แล้วท้องฟ้า ก็ดังกระหึ่มไปด้วย เสียงสาธุการ

พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงชื่นชม เคารพยกย่องมหาตุณฑิละยิ่งนัก จึงประทานยศให้แก่ หญิงชรา ทรงขอรับ เอาสุกรทั้งสองพี่น้อง ไว้ในพระราชวัง ทรงให้อาบด้วยน้ำหอม ให้ห่มผ้า ให้ไล้ทาตัว ด้วยของหอม ให้ประดับ แก้วมณีที่คอ แล้วทรงนำเข้าไปสู่พระราชวัง สถาปนาไว้ ในตำแหน่ง ราชบุตร ทรงให้มีบริวาร คอยรับใช้ อย่างมากมาย

และทุกวันอุโบสถ มหาตุณฑิละจะแสดงธรรม ให้ศีล แก่ข้าราชการบริพาร ทั้งหลาย แม้แต่ชาว นครพาราณสี และชาวกาสิรัฐทั้งหมด ก็พลอยได้ฟังธรรม รักษาศีล ๕ ศีล ๘ กันทุกคน ดังนั้น ตราบเท่าที่ มหาตุณฑิละ ยังมีชีวิตอยู่ ขึ้นชื่อว่า เรี่องโกงกินกันนั้น ไม่มีเลย

จนกระทั่งถึงเวลาแห่งการสวรรคตของ พระเจ้าพรหมทัต มหาตุณฑิละ จึงให้ประชาชน ถวายพระเพลิง พระสรีระ ของพระองค์ เมื่อเสร็จแล้ว ก็ให้จารึกคัมภีร์ การวินิจฉัย คดีความเอาไว้ แล้วบอกว่า

"ท่านทั้งหลายจงใช้คัมภีร์นี้ตัดสิน ในการพิจารณาคดีเถิด"

แล้วแสดงธรรมแก่มหาชน สั่งสอนในเรี่องของความไม่ประมาท จากนั้นแล้ว ก็เข้าสู่ป่าไป พร้อมกับ จุลตัณฑิละ ทั้งๆ ที่หมู่มหาชน พากันร้องไห้ คร่ำครวญอยู่ ซึ่งคำสอนของ มหาตุณฑิละ ในครั้งนั้น เป็นไปยาว นานถึง ๖ หมื่นปีทีเดียว

พระศาสดาครั้นทรงแสดงชาดกจบแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ซึ่งในที่สุดแห่งสัจธรรมนั้น ก็ทำให้ ภิกษุ ผู้กลัวตาย ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลได้ แล้วตรัสว่า

"พระเจ้าพรหมทัต ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ จุลตุณฑิละ ได้มาเป็น ภิกษุผู้กลัวตาย นี่เอง ชาวเมืองทั้งหมด ได้มาเป็นพุทธบริษัทในบัดนี้ ส่วน มหาตุณฑิละ ก็คือเราตถาคต"


วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

พิจารณาถึงความเจ็บปวดของเวไนย...ในใจก็จะบังเกิดความเมตตา - หย่งชี่เซียนถง เมตตาประทานพระโอวาท

พิจารณาถึงความเจ็บปวดของเวไนย...ในใจก็จะบังเกิดความเมตตา 

หย่งชี่เซียนถง  เมตตาประทานพระโอวาท


"ลองคิดดูสิว่าจิตใจของตนนั้น ทุกวันกำลังคิดถึงอะไร คิดดีมากกว่า หรือคิดไม่ดีมากกว่า?  บำเพ็ญธรรมต้องเริ่มต้นแก้ไขที่จิตใจก่อน อย่างเช่นพี่ๆชอบกินเนื้อสัตว์ พี่ๆอดใจไว้ชั่วครู่ไม่ไปกินมัน นั่นเป็นเพียงการสะกดมันเอาไว้ ตอนนี้อดทนไม่กินเนื้อสัตว์ได้ แต่ความอดทนนั้นก็ไม่ยาวนาน

ดังนั้นต้องเริ่มพิจารณาที่จิตใจก่อน ต้องคิดดูว่าเนื้อสัตว์เหล่านั้น หากพี่ๆกินเขา เขาก็จะเจ็บปวด เขาก็เป็นเหมือนพี่ๆที่อยากมีชีวิตที่แข็งแรงต่อไป เมื่อพิจารณาถึงความเจ็บปวดของเวไนยแล้ว ในใจก็บังเกิดจิตเมตตา พี่ๆก็จะไม่อยากทานเนื้อสัตว์ไปเองโดยปริยาย นี่ก็คือการเริ่มต้นบำเพ็ญที่จิต!"

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พี่น้องร่วมอุทรธรรมญาณ - พระบรรพพุทธะทะเลใต้ (พระโพธิสัตว์กวนอิม) เมตตา

พระบรรพพุทธะทะเลใต้ (พระโพธิสัตว์กวนอิม) เมตตาไว้ว่า...


                                                        กินเจเถิดขอเอ่ยเอื้อนเตือนผองชน
                                              ญาณของคนสัตว์น้อยใหญ่ต่างกันไฉน
                                              เป็นพี่น้องร่วมอุทรฆ่ากินไปไย
                                              น้ำตารินไหลเอาใจเขาใส่ใจเรา



วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีทำให้อายุยืน - ท่านหนันจี๋เหล่าเซียนองค์เมตตา (เทพเจ้าแห่งอายุวัฒนะ)



วิธีทำให้อายุยืน - พุทธโอวาทท่านหนันจี๋เหล่าเซียนองค์ เมตตา


      มนุษย์ทุกคนต่างก็อยากมีอายุยืน แต่ไม่รู้วิธีดำรงตน อายุขัยจึงไม่อาจยืนยาว มนุษย์ถือว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ การกินอยู่เหมาะสมหรือไม่เป็นข้อชี้ขาดการมีอายุยืนหรือสั้น ภาษิตว่า "โรคเข้าทางปาก ภัยออกจากปาก" คนที่ร่างกายและจิตใจไร้โรค ก็ย่อมจะอายุยืนแน่นอน วิธีทำให้อายุยืนมีดังนี้


  1. กินอาหารเจ ดีที่สุด จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์พบว่าในร่างกายของสัตว์เป็นที่อาศัยของเชื้อโรคมากมายหลายชนิด คนที่ชอบกินเนื้อสัตว์จึงมีโอกาสมากในการติดโรค ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์โดยตรง มนุษย์ทุกวันนี้จึงป่วยเป็นโรคแปลกๆ ที่ไม่มีทางรักษากันมาก ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากอาหารการกิน นอกจากนี้เหล้าบุหรี่ก็ควรงด เพราะเหล้ามีสารพิษของเหล้า ส่วนบุหรี่ก็มีสารนิโคตินซึ่งเป็นอันตรายต่ออวัยวะร่างกายของมนุษย์ หากสามารถงดได้ไม่เพียงแต่จะประหยัดเงินทองเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
  2. ลดตัณหาทะยานอยาก การขัดเกลาตนก็มีความสำคัญต่อการทำให้อายุยืน คนที่ร่างกายแข็งแรง แต่ถ้ามีตัณหาทะยานอยากมากเกินไป จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมเร็ว ซึ่งจะทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมไปด้วย โดยเฉพาะตัณหาความอยากที่ไม่ถูกต้อง จะยิ่งนำไปสู่ภยันตรายต่อชีวิต ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้อายุสั้นได้
  3. เล่นกีฬาที่เหมาะสม การเล่นกีฬาออกกำลังกายทำให้กระดูกและกล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหว สามารถหลีกเลี่ยงการตีบแข็งและช่วยการไหลเวียนของโลหิตทำให้กายและใจเบิกบานแจ่มใส ซึ่งมีความสำคัญต่อความมีอายุยืน
  4. ทำความดีสร้างกุศล การทำความดีสามารถเป็นสื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเพิ่มพลังจิต ซึ่งเป็นเคล็ดลับการมีอายุยืนอย่างหนึ่ง
  5. ขับขี่รถด้วยความไม่ประมาท โดยปฏิบัติตามกฏจราจร ไม่ขับรถด้วยความเร็วสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถจนกลายเป็นผีข้างถนนได้ 
หัวข้อข้างตนนี้ หากสามารถปฏิบัติได้ รับรองว่าจะทำให้อายุยืนอย่างแน่นอน





วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กินเนื้อสัตว์ทำให้เป็นโรคต่างๆ

กินเนื้อสัตว์ทำให้เป็นโรคต่างๆ - โอวาทคำสอนจากเทวดาอู๋

        ระยะนี้ผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเรา(เทวดาอู๋)ได้ตรวจดูแล้ว ผลปรากฏว่าสาเหตุเกิดจากอาหารการกิน เนื่องจากปัจจุบันนี้เทคโนโลยีอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมเจริญก้าวหน้า มาตรฐานความเป็นอยู่ดีขึ้น อาหารสามมื้อ หมู เห็ด เป็ด ไก่ สุรานารี ดื่ม เสพ อย่างไม่มีประมาณเป็นโทษต่อร่างกายไม่น้อย ร่างกายของคนก่อกำเนิดจากธาตุทั้งห้าแห่งฟ้าดิน ธรรมชาติประทานธัญญาหารและพืชผักอย่างวิจิตรประณีต ถ้ามนุษย์เลือกกินอย่างถูกวิธี โรคมะเร็งก็จะลดน้อยไปเอง

การกินเนื้อสัตว์มากเกินไป ระบายออกไม่หมดจะเกิดการสะสมสารพิษของสัตว์ นานวันเข้าจะทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ ดังนั้นถ้าชาวโลกอยากจะมีอายุยืนยาว ก็ควรจะทานอาหารที่ทำจากพืชผักต่างๆ (อาหารเจ ปราศจากเลือดเนื้อชีวิตสรรพสัตว์) มิเช่นนั้น หากเสพเนื้อสัตว์มากเกินไปย่อมจะทำให้อายุสั้นได้

      โบราณว่า "กินเขา 5 ขีด ต้องชดใช้ครึ่งกิโล" ชาวโลกอย่าคิดว่าเป็นการพูดอย่างงมงาย เดี๋ยวนี้สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าการกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย นั่นก็คือการชดใช้หนี้สินเวรกรรมจากการกินเนื้อสัตว์ ถ้าไม่เชื่อ ไฉนพอแก่ตัวหน่อยจึงต้องกินยาแก้โรคต่างๆ ทุกวันเล่า? กินหนึ่งต้องชดใช้หนึ่ง กฏแห่งกรรมไม่มียกเว้นหรือตกหล่นแม้แต่น้อย ขอให้ชาวโลกพึงสังวร





วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อานิสงส์การปล่อยสัตว์ - พระอรหันต์ไคซินเมตตา

อานิสงส์การปล่อยสัตว์  พระโอวาทพระอรหันต์ไคซินเมตตา


                                                     หวังลุธรรม           ต้องบำเพ็ญ              จิตเดิมแท้
                                           ขอเพียงแต่                    ศรัทธาจริง               ไยแสวงไกล
                                           มานะสร้าง                     มรรคผล                    ให้เกริกไกร
                                           เป็นบันได                      สู่เมืองฟ้า                  สุขสำราญ
                                           จิตเมตตา                      นี้คือ                           จิตพุทธะ
                                           ทางธรรมะ                     สามารถ                     พ้นสงสาร
                                           เกิดเป็นคน                    ต้องแสวง                  โพธิญาณ
                                           ละสามานย์                   อย่าผิด                       ศีลกาเม

        คนที่ชาตินี้ขี้โรคอายุสั้น  ส่วนใหญ่เป็นการตอบสนองที่ชาติก่อนได้สร้างกรรมฆ่าสัตว์ไว้มาก หากชาตินี้สามารถกลับตัวกลับใจใหม่ มีจิตใจเมตตาอารี งดฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ปลดปล่อยสัตว์และทำบุญสร้างกุศลอยู่เสมอ ไม่เพียงแต่จะสามารถยืดอายุขัยให้ยืนยาว และสลายบาปเวรแล้ว ยังทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย คนที่มีอายุสั้นก็จะได้เพิ่มอายุขัย คนขี้โรคก็จะแข็งแรง เพราะว่าอายุขัยสั้นหรือยาวของมนุษย์ แม้จะถูกกำหนดไว้แล้ว ทว่าอานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ตามกฏสวรรค์ถือว่าแรงมาก จึงสามารถเพิ่มอายุขัยได้

        ตั้งแต่อดีตมาผู้ที่มีอายุยืนเพราะการปล่อยสัตว์มีมากมาย ทางสถานธรรมควรจะจัดงานปล่อยสัตว์เป็นประจำ ก็จะเป็นการสร้างกุศลผลบุญไม่น้อย และยามปกติให้สามารถปฏิบัติถึงขั้นสัตว์ที่เลี้ยงเองไม่กิน เห็นสัตว์ถูกฆ่าไม่กิน ได้ยินเสียงสัตว์ถูกฆ่าไม่กิน ฆ่าเจาะจงเพื่อตนเองไม่กิน หากสามารถปฏิบัติตาม "4 ไม่กิน" นี้ได้ และมีความรักต่อสัตว์โลก ก็จะหลุดพ้นกรรมสนองจากปาณาติบาติ จะเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม





วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์การกินเจ - พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์เมตตา

พระโพธิสัตว์กษิติครรภ์ เมตตาประทานพระโอวาท

ประโยชน์ของการกินเจ

                                                            จิตใจ           อธรรม                  ตกอเว
                                                      อย่าลังเล          ขึ้นเรือธรรม           สู่สวรรค์
                                                      เทพอาศัย         ความดี                  เป็นสำคัญ
                                                      มิเคยหวั่น          อุปสรรค               โปรดปวงชน

     การบำเพ็ญธรรมแม้จะมีหลายวิธี แต่ก็อยู่ในหลักการเดียวกัน อยู่ที่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่เท่านั้น ผู้บำเพ็ญธรรมต้องมีใจเมตตาอารี หากไร้จิตเมตตา การบำเพ็ญธรรมก็ไม่ต้องไปกล่าวถึง ทฤษฏีทุกอย่างล้วนไม่หนีไปจากศีลและการกินเจ(งดเว้นชีวิตเลือดเนื้อสรรพสัตว์)

ดังนั้น ชาวโลกในวันแรกที่รับวิถีธรรมแม้จะได้เข้าสู่ประตูธรรมแล้ว แท้จริงยังไม่ได้เข้าถึงขั้นการบำเพ็ญธรรม จนกว่าจะได้กินเจถึงจะเรียกได้ว่าบำเพ็ญธรรม

คุณประโยชน์ของการกินอาหารเจ คือ

  1. การถือศีลกินเจ  สามารถหลุดพ้นจากกรรมสนอง
  2. การกินเจ   มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย
  3. การกินเจ   ทำให้จิตเดิมแท้สงบ สว่าง ผ่องใส
  4. การกินเจ   สามารถหล่อเลี้ยงจิตเมตตา
  5. ทำให้จิตวิญญาณใสสว่าง ปรากฏพุทธภาวะในจิตเดิมแท้
การบำเพ็ญธรรมจะต้องขัดเกลาตน การขัดเกลาตนจำต้องตั้งใจจริง ถ้าท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ย่อมจะบรรลุมรรคผลแน่นอน







วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ฆ่าหมูเกิดเป็นหมู

ฆ่าหมูเกิดเป็นหมู (อุทาหรณ์...คำสารภาพจากวิญญาณบาป)


     ชายนามว่า "เจียงจี้หลิง" เป็นคนอำเภอจิ่วเจียง สมัยรัชกาลเสียนฟง(พ.ศ.2395-2405) บิดามีอาชีพฆ่าหมูขาย เมื่อเขาโตขึ้นก็ได้สืบทอดอาชีพตามบิดา ทุกวันจะฆ่าหมูชำแหละเนื้อขาย เมื่อค้าขายเสร็จก็จะมักชักชวนเพื่อนพ่อค้ามาร่วมดื่มสุราเฮฮา หรือไม่ก็เล่นการพนันหรือไปเที่ยวโสเภณี ความประพฤติของตัวเองไม่เคยสำรวจ ไม่สนใจครอบครัว ปล่อยให้เมียต้องพึ่งตัวเอง โดยหารายได้ด้วยการรับจ้างซักผ้า เนื่องจากนายเจียงจี้หลิงไม่ชอบเรื่องการทำบุญ และประพฤติตนไม่อยู่ในศีลธรรม จึงถูกเบื้องบนลงโทษ ทำให้ไม่มีบุตรสืบสกุล ในบ้านว่างเปล่า พ่อแม่ก็เสียไปนานแล้ว มีแต่เขากับภรรยาสองคนเท่านั้น

        ภรรยาของเขาศรัทธาในพระธรรม ถือศีลกินเจและสวดภาวนา "อามีถัวฝอ" แต่นายเจียงจี้หลิงชอบด่าเธอว่างมงาย และมักเอาน้ำแกงหมูใส่ลงในอาหารของเธอเสมอ เพื่อทำลายการบำเพ็ญของเธอ ตอนหน้าหนาวทุกปี เขาชอบกินอาหารบำรุง โดยอาศัยที่ตัวเองร่างกายกำยำแข็งแรงจับหมาป่ามา 2-3 ตัว แล้วเรียกเพื่อน 4-5 คน มาช่วยกันฆ่าหมาป่ากินบำรุงร่างกาย ได้สร้างบาปกรรมไว้ไม่น้อย ภรรยามักจะเตือนเขาว่าอย่าฆ่าสัตว์ ควรจะมีเมตตาจิตบ้าง แต่เขาไม่ใส่ใจเลย มีแต่ด่าว่าเธอว่าเธอเป็นผู้หญิงจะรู้อะไร บางครั้งยังกลับไปตบตีเธออีก

        เนื่องจากเขาชอบเล่นการพนัน จึงเป็นหนี้ผู้อื่นจำนวนมาก ไม่มีปัญญาใช้หนี้ จึงขายภรรยาให้บาร์เหล้า โดยที่ภรรยาไม่รู้ เมื่อเธอถูกจับไปที่บาร์เหล้าเนื่องจากไม่ยอมรับแขกขายตัว และเพื่อรักษาชื่อเสียงความบริสุทธิ์ฺเธอเลยฆ่าตัวตาย นายเจียงจี้หลิงไร้มโนธรรมสำนึก ลืมความเป็นสามีภรรยาที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาเสียสิ้น ตอนอายุ 37 ปี เขาถูกฟ้าเบื้องบนลงอาญาตายด้วยพิษสุรา หลังจากตายแล้วพวกเพื่อนๆที่เคยร่วมวงสุรานั่นเองมาช่วยฝังศพของเขาอย่างง่ายๆ

        เมื่อไปถึงยมโลก ท่านยมบาลพิจารณาตัดสินให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน โดยสองชาติก่อนได้เกิดเป็นหมูป่า แต่ไม่สำนึกยังไปกินสัตว์เล็กอีก จึงถูกนายพรานจับไปฆ่าถูกลูกธนูบินเสียบร่าง และถูกหมาไล่เนื้อขย้ำกัด กัดจนเป็นบาดแผลทั่วตัว เลือดไหลไม่หยุด ตายแล้วได้เกิดเป็นหมูบ้านตามกรรมที่สร้างไว้ ทุกอย่างไม่มีความอิสระ น้ำลายก็ไหลออกมาเองไม่รู้ตัว อาหารที่กินล้วนแต่เป็นของบูดเน่าเสีย ขมแสนขม ทุกครั้งที่โมโห เพลิงโมหะก็จะแผดเผาทั่วตัว เกิดเป็นหมูมีทุกข์ก็ไร้ที่ร้องเรียน ปัจจุบันวิญญาณของนายเจียงจี้หลิงยังอยู่ที่นรกแดนเจ็ด ได้เกิดเป็นหมูห้าชาติแล้วยังต้องไปเกิดอีกสองชาติ ชาติก่อนเขาฆ่าหมูฆ่าหมา ปัจจุบันจึงต้องเกิดเป็นหมูให้คนฆ่าชำแหละ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ขอให้ทุกท่านจำเป็นบทเรียน อย่าได้เดินรอยตามชายนามว่า "เจียงจี้หลิง" อย่าเหมือนเขาที่ไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมก่อเหตุใดไว้ย่อมได้ได้รับผลนั้น ทำลายการบำเพ็ญธรรมของผู้อื่น จนถูกตัดทอนอายุขัย ต้องตายตั้งแต่ยังหนุ่ม เป็นอุทาหรณ์ให้แก่ผู้คนบนโลกกลับตัวหันมาประกอบกรรมดีละเว้นกรรมชั่ว ถือศีลทานเจกันเทอญ

บทความที่ได้รับความนิยม