เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สัตว์ทั้งหลายต่างก็เป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรของเรา - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา

พระโอวาทพระพุทธจี้กงเมตตา

"เมื่อสักครู่ได้ฟังหัวข้ออะไร ? (ความหมายของการรักษาศีลเจ) ฟังจบแล้วก็ไม่กล้ากินเนื้อสัตว์แล้วใช่ไหม? (ใช่) เช่นนี้กลับไปบ้านก็ไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้วใช่ไหม? (ใช่) ยังไม่แน่ว่าจะทำได้หรอก เพราะจิตเมตตากรุณาของศิษย์ทั้งหลาย ยังไม่หลั่งไหลออกมาอย่างแท้จริง ศิษย์ได้ฟังไปเมื่อสักครู่ ก็เริ่มรู้สึกว่าเราควรจะต้องมีจิตที่เมตตา อยากจะละเว้นการฆ่าปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลาย อยากถือศีลเจตอนนี้มีความคิดอย่างนี้ใช่ไหม? (ใช่)

แต่ศิษย์ทั้งหลายจะประคองรักษาจิตใจอย่างนี้ได้นานเท่าไหร่ ใจอยากจะถือศีลเจ แต่พอกลับไปถึงบ้าน เห็นคนที่บ้านทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์ และก็เป็นเนื้อสัตว์ที่ศิษย์ชอบกินมากอีกด้วย ศิษย์จะทำอย่างไร ศิษย์จิตใจไม่หวั่นไหวจริงๆไหม?  ยังไม่แน่หรอก ดังนั้นจะต้องมีจิตที่เวทนาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง สัตว์ทั้งหลายไม่ควรจะต้องถูกคนกินขอถามศิษย์ทั้งหลายว่าสัตว์ต่างๆ สมควรถูกกินเป็นอาหารของมนุษย์หรือไม่?

มีคนบอกว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นแผ่นหลังชี้ฟ้า คนจึงกินสัตว์ได้การกล่าวเช่นนี้ย่อมไม่มีเหตุผล เพราะคนเรายามแก่เฒ่าหลังค่อมไหม? (ค่อม) คนที่แก่แล้วหลังค่อม แผ่นหลังชี้ฟ้า อย่างนี้เราก็เอาคนแก่มากินได้ใช่ไหม? (ไม่ใช่) ดังนั้นมนุษย์โลกเพื่อจะสนองความอยากของปาก เพื่อจะสนองความอยากกินเนื้อสัตว์ จึงหาข้ออ้างมากมายสารพัดให้กับตนเอง บ้างก็บอกว่าสัตว์ทั้งหลาย เดิมทีก็เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว แต่ว่าวันนี้ศิษย์ได้รับวิถีธรรมแล้ว มีโอกาสได้เข้าชั้นประชุมธรรมศักดิ์สิทธิ์สามวัน ได้ฟังหัวข้อความหมายของการรักษาศีลเจแล้ว ถึงตอนนี้คิดว่าสัตว์ทั้งหลายสมควรจะให้เรากินเลือดเนื้ออีกไหม?

สัตว์เดรัจฉานนั้นเดิมทีเขาเป็นอะไร?  สัตว์ทั้งหลายก็มีจิตญาณเหมือนกัน แต่เป็นเพราะอดีตชาติเขาทำสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นชาตินี้จึงต้องเวียนว่ายกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานถูกคนเข่นฆ่าเชือดเฉือน นี่ก็คือวิบากกรรมของเขา ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายไม่สมควรจะต้องมาเป็นอาหารของมนุษย์ ชาตินี้เขาต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออาจจะมีอีกหลายชาติที่ต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน รอจนวาระกรรมเขาหมดแล้ววิบากกรรมที่ต้องได้รับจากบาปกรรมของเขาหมดแล้ว และหากเขาโชคดี อีกทั้งวิบากกรรมมิได้หนักหนา เขาก็อาจจะได้เกิดมาเป็นคนก็ได้ใช่ไหม?  เช่นนี้แสดงว่าเขาก็มีจิตญาณหรือไม่?  เมื่อเขามีโอกาสเกิดเป็นคนได้ ย่อมแสดงว่าจิตญาณของเขาก็มาจากพระแม่องค์ธรรมเหมือนกับศิษย์ทั้งหลาย

มนุษย์โลกต่างก็มีจิตญาณซึ่งแบ่งแยกออกมาจากดวงญาณของพระแม่องค์ธรรมนั่นเอง ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายต่างก็เป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรของเราใช่ไหม?  ถ้าศิษย์คิดในจุดนี้ว่าเขาเป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรกับเรา จิตญาณของเขาก็แบ่งมาจากพระแม่องค์ธรรมเหมือนกัน เพียงแต่อดีตชาติเขาทำสิ่งที่ไม่ดี ชาตินี้จึงต้องได้รับผลกรรมเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องเกิดเป็นสัตว์ก็ต้องทุกข์ทนน่าสงสารมากแล้ว ศิษย์ทั้งหลายอย่าได้เบียดเบียนกินเลือดเนื้อเขาอีกเลย ศิษย์ต้องบอกกับตัวเองเช่นนี้ ศิษย์จึงจะสามารถปล่อยชิ้นเนื้อจากปากได้ และหากศิษย์มีปัญญาอย่างแท้จริง ศิษย์ต้องคิดทบทวนดูว่าการกินเต้าหู้ผักสดผลไม้กับการกินเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เรารับรู้รสชาติได้ก็แค่ช่วงของลิ้นเท่านั้นเอง ผ่านปากเราจนถึงลำคอ รับรู้รสชาติก็เพียงความยาวแค่สามนิ้วเท่านั้นเอง พอลงไปจนถึงกระเพาะของเราแล้วรสชาติอะไรก็ไม่รู้สึกแล้ว ใช่ไหม?

ดังนั้นการกินอาหารก็เพื่ออิ่มท้องไม่ทำให้ร่างกายหิวจนเสียหายเท่านั้นเอง แล้วเหตุใดเพื่อจะสนองความอยากของปากเราถึงกับต้องเข่นฆ่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นด้วย ที่ผ่านมาศิษย์ยังไม่เข้าใจ มีคำกล่าวว่าไม่รู้ย่อมไม่ผิดแต่ตอนนี้เมื่อรู้และเข้าใจแล้ว ก็ควรจะรู้จักปล่อยวางได้แล้ว ใช่ไหม?  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่รู้ย่อมไม่ผิดหรือเปล่า?  อาจารย์จะยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ถ้าเหล็กแท่งหนึ่งถูกเผาจนร้อนแดง คนหนึ่งที่ไม่รู้ผ่านมา กับอีกคนหนึ่งที่รู้ ทั้งสองชนแท่งเหล็กร้อนนี้ คนที่ไม่รู้โดนแท่งเหล็กร้อนนี้ก็จะไม่รู้สึกร้อนหรือเปล่า? (ไม่) เช่นนี้ศิษย์ทั้งหลายเข้าใจหรือยัง? (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นความผิดบาปจากการกินที่ผ่านมา กินเลือดเนื้อเขามามากเท่าไหร่แล้ว วันนี้เมื่อศิษย์ทั้งหลายเข้าใจแล้ว ศิษย์ก็ต้องบอกกับตัวเอง จะต้องบังเกิดแรงปณิธานว่าเราจะไม่กินพวกเขาอีก เราจะไม่เกี่ยวกรรมกับสรรพสัตว์สรรพชีวิตทั้งหลายอีกต่อไป เราจะชำระหนี้สินเวรกรรม เราจะถือศีลเจ เราจะเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา

สมัยก่อนมีปราชญ์ท่านหนึ่งชื่อว่า "เมิ่งจื่อ" ท่านได้กล่าวว่า "ได้เห็นสัตว์ที่มีชีวิต ก็ไม่อาจทนเห็นเขาต้องตาย ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดทรมาน จากการถูกเชือดเฉือนไม่อาจกินเนื้อของเขาลง" นี่เรียกว่าจิตที่เมตตากรุณา เข้าใจไหม?

ดังนั้นหนังสือธรรมะ พระโอวาทอริยะปราชญ์ ต้องศึกษาทำความเข้าใจให้มาก ถึงจะรู้ว่าจะบำเพ็ญปฏิบัติอย่างไร สมควรจะมุ่งไปสู่เป้าหมายใด ยังมีจริยะในการดำรงตนปฏิบัติต่อผู้อื่น ต้องรู้จักให้ความเคารพต่อสรรพสัตว์และเวไนยทั้งหลาย ลองย้อนคิดดูว่าหากมีดเล่มนันเชือดเฉือนอยู่บนเนื้อของเราจะเจ็บปวดไหม? (เจ็บปวด) สัตว์ทั้งหลายก็มีความรู้สึก เขาย่อมรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ดังนั้นท่านเมิ่งจื่อจึงกล่าวว่า ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตไม่อาจกินเนื้อของเขาได้เข้าใจไหม?

ต่อจากนี้ไปก็อยู่ที่ศิษย์ทั้งหลายจะไปดำเนินอย่างไร อยู่ที่ศิษย์ทั้งหลายว่ามีจิตเมตตาอย่างแท้จริงหรือไม่ ต้องการจะบำเพ็ญหรือไม่ ต้องการจะวางมีดลงหรือยัง ตั้งความมุ่งมั่นที่จะสำเร็จเป็นพุทธะแล้วหรือไม่ ที่บอกให้ศิษย์ทั้งหลายวางมีดลงก็เพราะเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่ศิษย์กินนั้นล้วนผ่านคมมีดมาทั้งสิ้นใช่ไหม? "




วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บำเพ็ญธรรมต้องเริ่มต้นแก้ไขที่จิตใจก่อน - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หย่งชี่เซียนถง ไคซินเซียนถง) เมตตา


"ลองคิดดูสิว่าจิตใจของตนนั้น ทุกวันกำลังคิดถึงอะไร คิดดีมากกว่า หรือคิดไม่ดีมากกว่า? บำเพ็ญธรรมต้องเริ่มต้นแก้ไขที่จิตใจก่อน อย่างเช่นพี่ๆชอบกินเนื้อสัตว์ พี่ๆอดใจไว้ชั่วครู่ไม่ไปกินมัน นั่นเป็นเพียงการสะกดมันเอาไว้ ตอนนี้อดทนไม่กินเนื้อสัตว์ได้ แต่ความอดทนนั้นก็ไม่ยาวนาน

ดังนั้นต้องเริ่มพิจารณาที่จิตใจก่อน ต้องคิดดูว่าเนื้อของสัตว์เหล่านั้น หากพี่ๆกินเขา เขาก็จะเจ็บปวด เขาก็เป็นเหมือนพี่ๆที่อยากมีชีวิตแข็งแรงต่อไป เมื่อพิจารณาถึงความเจ็บปวดของเวไนยแล้ว ในใจก็จะบังเกิดจิตเมตตา พี่ๆก็ไม่อยากทานเนื้อสัตว์ไปเองโดยปริยาย นี่ก็คือการเริ่มต้นบำเพ็ญจิต"

บทความที่ได้รับความนิยม