เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความเมตตาที่แท้จริง - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หันเซียงจื่อต้าเซียน เมตตา (韓湘子大仙)


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทาน หันเซียงจื่อต้าเซียน (韓湘子大仙) 

"ก่อนเราจะมาที่นี่มีเวไนยสัตว์มากมายที่ร่ำร้องวอนขอเรา เขาถามว่า...ท่านได้เหยียบย่ำทำร้ายสิ่งใดบ้าง เคยนึกไหม ? (ไม่เคย) 

ท่านคิดเพียงสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก สัตว์เล็กเป็นอาหารสัตว์ใหญ่ เช่นนี้ถ้าช้างไม่กินผักผลไม้ แต่หันมากินคนแทน ท่านจะใช้คำว่า สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กได้หรือไม่?

ความเมตตาอย่าคิดแค่ใจสงสารเมตตา แต่ต้องออกมาจากทุกส่วนของการกระทำส่วนลึกในใจ ไม่ใช่แค่พูด หรือแค่แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบังคับได้ ท่านก็อาจจะบอกว่าอย่าทานเนื้อสัตว์เลย แต่ทำไมท่านไม่กล้าที่จะออกกฎบังคับ นั่นเป็นเพราะว่าความเมตตาที่แท้จริง หรือเมตตาอันบริสุทธิ์ ต้องออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ จากมโนธรรมสำนึกที่เรามีอยู่ นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นเมตตาที่แท้ เป็นเมตตาที่สว่างไสว 

ฉะนั้นตอนนี้รู้แล้วว่า...การเบียดเบียนสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ดี มีแต่ทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บปวด น้ำตาที่ไหล เราอาจจะมองไม่เห็น แต่ใจส่วนลึกของสรรพสัตว์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ต้องการบังคับให้เลิกทานเนื้อสัตว์ แต่ต้องการเรียกร้องความเมตตา เรียกร้องมโนธรรมสำนึกที่อยู่ในจิตใจ ให้ย้อนมองดูว่าความเจ็บปวดที่เราโดนนั้นเป็นอย่างไร? แล้วที่สรรพสัตว์โดนนั้นแตกต่างกันอย่างไร? แค่เราโดนมีดบาดนิดหน่อย เราก็เป็นเดือดเป็นแค้น แต่ถ้าโดนพรากชีวิตทั้งชีวิต พรากจากพ่อแม่ ลูกหลาน เราจะรู้สึกอย่างไร? การสูญเสียนั้นมีแต่ความเสียใจ ความหดหู่ 

ฉะนั้นเราลองถามตนเองว่า ถ้าเราไม่อยากสูญเสีย ไม่อยากพลัดพราก แล้วตัวเราได้เป็นต้นเหตุให้คนอื่น หรือสรรพสัตว์ต้องสูญเสียหรือพลัดพรากบ้างหรือเปล่า?"





วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เหตุใด? ตรุษจีนปีนี้...พึงเซ่นไหว้บรรพชนด้วยอาหารเจ บรรยากาศมงคลเปี่ยมล้นความปีติ ปราศจากเลือดเนื้อความเจ็บปวด




ตรุษจีน เซ่นไหว้บรรพชนด้วย...อาหารเจ กตัญญู แสดงออกถึงจิตรำลึกคุณ สืบสานประเพณีอันดีงามแต่ครั้งบรรพกาล บรรยากาศมงคลเปี่ยมล้นความปีติ ปราศจากเลือดเนื้อความเจ็บปวดของสรรพสัตว์น้อยใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แซ่สร้องสรรเสริญอวยชัย

        มีคำกล่าว “หนึ่งวันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา ร้อยปีอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน” ความหมายก็คือลูกที่กตัญญูต้องรู้จักสำนึกอยู่เสมอว่า  การได้มีชีวิตอยู่รับใช้พ่อแม่  ผู้บังเกิดเกล้าทุกค่ำเช้าเป็นเวลา 100 ปี นั่นเท่ากับว่าเราได้ตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูชีวิตมาได้ 1 วัน

ตั้งแต่เรายังเล็กๆ ท่านป้อนข้าว ให้นม ให้เสื้อผ้าที่อยู่ที่กิน ให้ความรู้การศึกษา  ให้ความรักและความอบอุ่นยามเจ็บไข้พ่อแม่ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลากว่าเราจะโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี ลองคิดคำนวณดูเอาเถิดว่ากี่ร้อย  กี่พันกันล่ะที่ท่านต้องลำบาดเลี้ยงดูเรา

เพราะฉะนั้น  ต่อให้เรามีอายุยืนอยู่ได้ถึงหมื่นปี  คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ทุกวันมิได้ขาดก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองได้หมด

พระคุณบิดามารดานั้นมากมายล้นพ้น  สุดจะหาคำใดในโลกมาเอ่ยพรรณนา ขอให้เราทุกคนย้อนมองดูตัวเองแล้วพิจารณาดูซิว่าเราเคยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ด้วยความจริงใจสักหนึ่งวันเต็มๆมีบ้างไหม?
ยามที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ายังมีชีวิตอยู่  ลูกควรกตัญญูรู้คุณด้วยการเคารพเชื่อฟัง  ไม่นำเรื่องราวใดๆ ทำให้ท่านต้องทุกข์ร้อนใจ ควรดูแลเอาใจใส่ให้ท่านทั้งสองมีแต่ความสุขกายสบายใจ  เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ให้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านสืบต่อจนถึงรุ่นลูกหลาน

การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ  ก็เพื่อเป็นแบบอย่างของคุณธรรมอันดีแก่ลูกหลานของเราให้ได้รู้จักสำนึกในพระคุณบิดามารดาบุพการีมีความกตัญญูรู้คุณสืบต่อกันไป มิใช่เซ่นไหว้เพื่อขอโชคลาภ  เงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ตัวเองและลูกเมีย  เราไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือที่ท่านเลี้ยงเรามาชั่วชีวิตของท่าน  ตลอดเวลาเราได้รับอาหาร เสื้อผ้า ข้างของ เงินทอง  ตลอดจนความรู้  ทั้งหมดที่ท่านให้มาแล้วยังไม่เพียงพอที่เราจะใช้ดำเนินชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวลูกหลานต่อไปอีกหรือ  ทำไมเราจะต้องเซ่นไหว้วิงวอนขอบันดาลสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างคนไม่รู้จักพอทั้งๆที่ท่านไม่มีสังขารร่างกายจะลุกขึ้นมาให้เราได้อีกแล้ว

การที่ลูกหลานกราบไหว้บรรพบุรุษ  เพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ  จึงมิใช่การแสดงความกตัญญูที่แท้จริง หากเราสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักแต่จะขอวิงวอนขอเอาจากผู้อื่นต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ก็จะได้นั่งวิงวอนรอคอยให้ผู้อื่นช่วยแทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่พ่อแม่มอบให้แล้วออกไปบากบั่นมุ่งหน้าประกอบกิจการงานอย่างผู้มีความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง  ถ้าหากลูกหลานของเรามัวแต่งอมืองอเท้าอย่างนี้ความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอน  ทำตนเป็นแบบอย่างที่ผิดๆ ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษ  เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย  บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่ในเรื่องนี้  

ผู้รู้ทั้งหลายก็จะพากกันติเตียนในความโง่เขลาของเรา ชีวิตเลือดเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่า แย่งชิงเอามาจากสัตว์เป็นเสมือนของต้องห้ามที่ผิดกฎหมาย หากนำไปมอบให้ใครผู้รับมอบก็จะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย  เช่นนี้แล้วดวงวิญญาณของบรรพบุรุษกลับต้องได้รับหนี้สินบาปเวรจากการกระทำของลูกหลานโดยที่ท่านไม่ได้รู้เห็นเป็นใใจด้วยเลย..ช่างหน้าสลดใจจริงๆ ผู้มีความกตัญญูที่แท้จริงพึงกระทำอย่างยิ่ง

ในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก  ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปและต่างก็หวังว่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับจะเดินทางไปสู่สุคติภพไม่อยากให้ตกนรกหมกไหม้ไปอยู่ในที่ที่น่ากลัวได้รับแต่ความทรมานทุกข์ทรมานยากลำบาก

ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย  ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่ หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย






วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เณรน้อยโปรดสัตว์ได้ต่ออายุ - ช่วยหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น




เณรน้อยโปรดสัตว์ได้ต่ออายุ - ช่วยหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น

        กาลครั้งหนึ่ง มีเณรน้อยรูปหนึ่งออกบวชติดตามพระเถระที่มีคุณธรรม พระเถระรูปนี้รู้ว่าเณรน้อยรูปนี้ต้องตายภายในเจ็ดวัน ท่านจึงรู้สึกเสียใจ เพราะเณรน้อยกตัญญูเชื่อฟังอาจารย์มาก ปรนนิบัติด้วยความซื่อสัตย์ที่สุด

        พระเถระบอกกับเณรน้อยว่า "เณรน้อย เจ้าไม่ได้กลับบ้านเยี่ยมแม่นานแล้ว ถ้าวันนี้กลับบ้านไปเยี่ยมเยียนแม่ของเจ้า พยายามเป็นลูกกตัญญู หลังจากนี้แปดวันค่อยกลับมาที่วัด" เพราะว่าพระเถระรู้ว่า เณรน้อยจะต้องตายภายใน ๗ วัน ฉะนั้นจึงสั่งกำชับให้เขากลับบ้าน

        ใครจะรู้ว่าหลังจากแปดวันให้หลัง เณรน้อยกลับมาอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไป พระเถระรู้สึกยินดีมาก แต่ก็รู้สึกแปลกใจจึงพูดกับเณรน้อยว่า "ศิษย์เอ๋ย ชั่วชีวิตของข้าคาดการณ์อะไรไม่มีผิด อาจารย์ทำนายว่าเจ้าต้องตายภายในเจ็ดวัน แต่เหตุใดเจ้าจึงสามารถเปลี่ยนจากเคราะห์ภัยเป็นบุญวาสนา อีกทั้งสีหน้าก็หมดเคราะห์ ในระหว่างนี้เจ้าได้สร้างคุณประโยชน์มหาศาลเพื่อเวไนยสัตว์ใช่ไหม" เณรน้อยถูกถามก็ไม่รู้จะตอบอาจารย์อย่างไร

       พระเถระรีบเข้าณานไม่นานนักก็เข้าใจสาเหตุ แล้วก็พูดกับเณรน้อยว่า "ศิษย์เอ๋ย ระหว่างทางที่เจ้ากลับบ้าน เจ้าได้ช่วยชีวิตมดมากมายใช่หรือไม่" ขณะนั้นเณรน้อยเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงตอบอาจารย์ว่า "ใช่แล้ว ระหว่างทางที่จะกลับบ้าน ศิษย์ได้เห็นมดถูกขังอยู่กลางน้ำ ศิษย์จึงใช้ท่อนไม้ช่วยชีวิตพวกมันให้พ้นภัย ก็ไม่ใช่บุญกุศลอะไรมากมาย" พระเถระบอกว่า "ยินดีกับเจ้าด้วย ผู้ที่มีจิตเมตตากรุณาจะมีอายุยืน"

        คนโบราณได้กล่าวไว้ว่า..."ช่วยหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น" "เจ้าช่วยชีวิตมากมาย อนาคตเจ้าจะมีอายุยืนแน่นอน วาสนาก็มีไม่น้อยแต่ว่าเราก็จะต้องฉุดช่วยเวไนยสัตว์อีกต่อไป เพื่อเผยแผ่ธรรมะ และให้ประโยชน์แก่เวไนยฯ เอาแบบอย่างจิตเมตตาของพระพุทธองค์ที่เผยแผ่สร้างคุณประโยชน์ช่วยเหลือชาวโลก ส่งเสริมการปล่อยสัตว์ และละเว้นการฆ่าสัตว์ให้มากๆ" เณรน้อยเคารพนบนอบต่อคำสั่งสอนของอาจารย์ในที่สุดก็สำเร็จเป็นพระเถระรูปหนึ่งแห่งยุค

       ขอให้พวกเราหมั่นคิดที่จะสร้างความดี แล้วก็นำไปปฏิบัติถึงแม้ว่าจะีมีภัยก็สามารถเปลี่ยนแปลงกลายเป็นบุญวาสนา และมีอายุยืนยาวได้





วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

"เมื่อเห็นเขาเป็นก็มิอาจทนเห็นเขาตาย เมื่อยินเสียงเขาร่ำไห้ก็มิอาจทนกินเขาลง" - ปราชญ์เมิ่งจื่อ


ท่านปราชญ์เมิ่งจื่อกล่าว "เมื่อเห็นเขาเป็นก็มิอาจทนเห็นเขาตาย เมื่อยินเสียงเขาร่ำไห้ก็มิอาจทนกินเขาลง"

        เมื่อเราเห็นสัตว์ยังเป็นๆ ก็ไม่สามารถจะทนเห็นเขาถูกฆ่าได้ ได้ยินเสียงร้องอันโหยหวนจากการถูกฆ่าแล้ว จะไปกินเขาลงได้อย่างไร นี่เป็นการเตือนสติให้เราเกิดความเห็นอกเห็นใจ และรันทดใจ มิใช่้ให้ตามใจปาก พลอยให้สัตว์โลกต้องถูกประหัตถ์ประหารไปด้วย

        ณ มณฑลเจ้อเจียง อำเภอผิงหู ตำบลจ้าผู่ มีเศรษฐีคนหนึ่ง ทำธุรกิจค้าไม้ อาหารที่เขาโปรดปรานคือ เอานกกระจอกหลายๆตัวมาเรียงกันไว้ในท้องเป็ดแล้วนำไปต้ม เขาให้ชื่ออาหารรสเลิศนี้ว่า"ดาวล้อมเดือน"

ด้วยเหตุนี้สัตว์มากมายจึงต้องมาสังเวยชีวิตเพราะเศรษฐีผู้เอาแต่กินคนนี้

       วันหนึ่งกรรมก็ตามสนอง มีตุ่มใหญ่ขึ้นที่กลางแผ่นหลังของเขา รอบๆตุ่มนี้ก็มีตุ่มเล็กตุ่มน้อยขึ้นรายล้อมมากมาย เจ็บปวดทรมานแทบจะขาดใจ เมื่อหมอตรวจอาการก็บอกว่าโรคชนิดนี้คือ "ฝีดาวล้อมเดือน" ซึ่งแทบจะไม่มีโอกาสรักษาให้หายขาดได้เลย

       เศรษฐีผู้นี้มีเงินมากมาย เที่ยวหาหมอวิเศษมารักษาอย่างไรก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเขาก็ต้องจบชีวิตอย่างทรมาน โรคที่เขาเป็นก็ชื่อเดียวกับอาหารที่เขาชอบกินเป็นชีวิตจิตใจ ตัวเขาเองคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของเขาเองแท้ๆ

        คน คือสมบัติล้ำค่าแห่งสรรพสิ่ง และเป็นสิ่งมีชีิวิตที่เป็นเลิศที่สุดในหมู่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง แต่คนกลับไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลก คิดว่าตนเองมีวิทยาการสูงกว่า มีความฉลาดกว่า ประเสริฐกว่า จึงเอาเปรียบผู้อื่น นี่จึงถือว่าเป็นความน่าอายของอารยธรรมแห่งมวลมนุษยชาติก็ว่าได้ เพราะสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีจิตญาณ มีความรู้สึก มีชีวิตเฉกเช่นเดียวกัน เราทุกคนตระหนักดีว่าเืมื่อโดนมีดบาดโดยไ่ม่ได้ตั้งใจ ก็เจ็บแสนเจ็บ แล้วสัตว์โลกชีวิตอื่นเล่า โดนทั้งตีรันฟันแทง จะไม่เจ็บเหมือนกันบ้างหรือ เมื่อเราขึ้นชื่อว่าเป็นเลิศแห่งชีวิตทั้งมวลแล้ว ใยจึงไม่รู้จักมีเมตตาการุณย์ต่อสัตว์ผู้ด้อยกว่าบ้าง




บทความที่ได้รับความนิยม