เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จากวัวไปสู่ผู้ตรวจการ - เรื่องเล่าขานกฏแห่งกรรม ใครกำหนด ชุดที่ 4


จากวัวไปสู่ผู้ตรวจการ


ในรัชสมัยเจียจิ้ง ราชวงศ์หมิง ที่อำเภอคุนหมิง มณฑลยูนนาน ชายผู้หนึ่งชื่อเจ้าอู่ มีอาชีพฆ่าวัว ทั้งนิสัยก็ดุร้ายเกเรจนพ่อแม่ต้องตรอมใจตาย ไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมแต่งงานกับเขาจนบัดนี้เขาอายุสามสิบกว่าแล้ว

วันหนึ่ง เจ้าอู่ซื้อวัวแม่ลูกมาได้คู่หนึ่ง วันรุ่งขึ้นก็เตรียมฆ่าแม่วัวไปขาย เขาผูกมัดแม่วัวจนแน่นหนา แต่เห็นว่ามีดไม่คมพอจึงเอาไปลับ ขณะที่ลับมีดอยู่ก็แว่วเสียงคนเรียกที่หน้าประตูบ้าน จึงวางมีดไว้เดินไปดู พอกลับเข้ามาปรากฏว่ามีดที่วางไว้หายไป ถามคนในบ้านก็ได้รับคำตอบว่า "ไม่มีใครเดินไปตรงนั้นเลย นอกจากลูกวัวตัวเดียว"

เจ้าอู่เที่ยวหาทั่วบริเวณนั้น จึงพบว่ามีดถูกนำมาซ่อนไว้ในซอกหิน เขาคิดว่า จะเป็นไปได้หรือที่ลูกวัวแอบเอามาซ่อนจึงอยากจะทดลองดูอีกที เขาเอามีดวางไว้แล้วแอบไปดูอยู่หลังพุ่มไม้ เงียบเสียงคน เจ้าอู่เห็นลูกวัวเดินมาคาบมีดไปซ่อนไว้ที่ซอกหินจริง ๆ

เจ้าอู่สะท้อนใจ เขาสัมผัสได้ถึงความความกตัญญูที่ลูกวัวมีต่อแม่ของมันทันที เดรัจฉานแท้ ๆ แต่มีจิตใจเหนือกว่าเขาเสียอีก

เจ้าอู่สะท้อนอยู่ในอก เขาออกจากพุ่มไม้ จูงวัวสองแม่ลูก ตัดสินใจมุ่งสู่ภูเขาหัวซันทันที

บนพุทธบรรพตหัวซัน เป็นสถานบำเพ็ญของพระอาจารย์ซิ่งคง อายุเจ็ดสิบกว่าพรรษา ท่านทราบด้วยญาณว่า อะไรทำให้เจ้าอู่เดินทางมาถึงที่นี่ ท่านยินดีรับเขาไว้ให้บวชเรียน

เจ้าอู่สำนึกในบาปกรรมที่ทำมา ฉะนั้นเวลาสวดมนต์กราบพระ เขาจึงโขกศีรษะลงกับพื้นแรง ๆ เพื่อขอขมากรรม จนไม่นานต่อมาหน้าผากของเขาเป็นเนื้อนูนกลมใหญ่ เมื่อมีเวลาว่าง เจ้าอู่จะพาวัวแม่ลูกไปเลี้ยงให้กินหญ้าด้วยตัวเอง คราใดที่พระอาจารย์เทศนาหรือสวดมนต์ภาวนาวัวแม่ลูกจะมาหมอบนั่งฟังอยู่เหมือนรู้ความ

สามปีต่อมาแม่วัวตาย พระอาจารย์สั่งให้นำศพไปฝังไว้เชิงเขาฝั่งซ้าย ทุกวันวัวจะเดินไปหาแม่ที่หลุมฝังศพ ส่งเสียงร้องวังเวงวันละหลายครั้ง พร้อมกับใช้เขาขวิดดินบริเวณนั้นจนหลุมฝังศพของแม่วัวพูนขึ้นเป็นเนินสูง เวลาผ่านไปจนถึงปีที่เจ็ด

วันหนึ่ง พระอาจารย์ก็เรียกเจ้าอู่เข้ามาพบแล้วบอกให้ลงไปที่เชิงเขา ว่ามีใครคนหนึ่งจะมาสู่หนทางบุญ เจ้าอู่เหลียวดูจนทั่วบริเวณเชิงเขา ไม่เห็นมีใครเลยนอกจากขอทานตัวน้อย ๆ คนเดียว จึงพาขึ้นมากราบพระอาจารย์

พระอาจารย์จัดการบวชให้เด็กขอทานคนนั้น ให้เจ้าอู่เป็นอาจารย์อุปัชฌาย์ เจ้าอู่แอบถามความนี้จากอาจารย์ก็ได้ทราบว่า...

เณรผู้นี้ชาติก่อนโน้นเป็นคนร้อยเล่ห์ หลอกลวงเงินทองเขามากมาย ตายแล้วจึงเกิดเป็นวัวในบ้านเจ้าหนี้ใช้แรงกายคราดไถอยู่หลายปีในที่สุดก็ถูกนำไปขาย เท่ากับได้ใช้หนี้จนครบต้นครบดอก และชะตากรรมกำหนดไว้ว่าจะต้องตายด้วยคมมีด แต่เคราะห์ดีที่เจ้าอู่กลับไว้ชีวิต อีกทั้งได้เข้าวัดฟังธรรม เมื่อจบชีวิตความเป็นวัวไป พญายมตรวจสอบบาปบุญแล้วจึงกำหนดให้เกิดเป็นคนใหม่ และให้เข้าวัดตั้งแต่น้อย หากชาตินี้บำเพ็ญดีก็จะพ้นหนี้กรรมที่เคยทำไว้ในอดีตชาติ

ในชาตินี้เขาเกิดเป็นลูกบ้านตระกูลเหมา ตอนที่เขาเกิดพ่อแม่อายุเกือบสี่สิบแล้ว ฐานะครอบครัวก็ยากจนพออายุได้สามขวบพ่อก็ตาย อายุห้าขวบแม่ตาย จึงได้เร่ร่อนขอทานมาถึงเชิงเขา แล้วพระอาจารย์ก็ใช้ให้เจ้าอู่ลงไปนำตัวขึ้นมาบวชเณร

ฝ่ายลูกวัวอยู่ที่วัดพอเห็นเณรน้อยเข้าก็ดีใจ เหมือนรู้จักกันมานาน เดินตามติดอย่างสนิทสนม
เมื่อเณรน้อยลงไปหาบน้ำที่เชิงเขาวัวก็ตามไปด้วยพอเณรจะเอาไม้คานใส่บ่า วัวก็เข้ามาช่วยหาบเสียเองเป็นอย่างนี้เรื่อยมา จนไม่ช้า หลังวัวที่เคยราบเรียบ ก็กลายเป็นโหนกรองรับไม้คานได้พอดี หน้าที่หาบน้ำซึ่งเป็นของเณร วัวก็รับไปทำเสียเอง ชาวบ้านที่เชิงเขาต่างอนุโมทนา ช่วยกันตักน้ำใส่ถังให้วัวหาบขึ้นมา

หลายปีต่อมาวันหนึ่งพระอาจารย์ก็ขึ้นธรรมาสน์เรียกลูกวัวเข้ามาฟังพระโศลกว่า...

เจ้าสร้างกรรมทำบาปชาติก่อนกาล
ต้องเป็นเดรัจฉานใช้หนี้ในชาตินี้
บำเพ็ญพ้นเบื้องบนเหนือโลกีย์
คนรู้ดีเหนือเบื้องบนมีหนทาง
จะชั่วดีอยู่ที่ตนจะทำตน
กรรมวกวนแน่นักจักสนอง
ใครรู้แจ้งกฏแห่งกรรมเป็นทำนอง
จะเปลี่ยนสองดินฟ้า ณ บัดนี้

สิ้นคำ พระอาจารย์ก็ยกแส้ขึ้นโบกแล้วบอกลูกวัวว่า "ไม่ไปเมื่อนี้แล้วจะไปเมื่อไร"

พอได้ฟัง ลูกวัวก็ยืนขึ้นโค้งคำนับพระอาจารย์ คำนับเณรและเจ้าอู่แล้ว ก็หงายท้องร้องเสียงดังอำลาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วขาดใจตายตรงนั้น

พระลูกวัดเห็นเป็นที่อัศจรรย์ จึงพากันเรียนถามพระอาจารย์ ท่านตอบว่าความลับของสวรรค์มิอาจเปิดเผยได้ อีกยี่สิบปีภายหน้าจะได้รู้กัน

วิญญาณของลูกวัวเดินทางไปสู่ยมโลก เมื่อพญายมเปิดสมุดบาปบุญของลูกวัวออกดูก็ปรากฏอักษรคำว่า "กตัญญู" ตัวใหญ่เด่นชัดขึ้นมา พญายมรีบลุกขึ้นจากบัลลัง-อาสน์ ตรงเข้ามาคารวะลูกวัวพร้อมกับกล่าวสดุดีว่า "อนุโมทนา" พลางหันไปสั่งเทพบุตรซิงอีถงจื่อ ให้ส่งวิญญาณของลูกวัวไปเกิดที่บ้านนักบุญหวัง เมืองหย่งคัง มณฑลยูนนานทันที

ฝ่ายภรรยาของนักบุญหวัง ในคืนนั้นก็ได้ฝันไปว่าถูกลูกวัวตัวหนึ่งวิ่งชน เช้าวันรุ่งขึ้นก็คลอดบุตรออกมาเป็นชายมีตำหนิตรงกลางหลังเป็นโหนกเนื้อเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว

นักบุญหวังตั้งชื่อลูกชายว่า หวังฝู

หวังฝูมีลักษณะหน้าตาดี ปัญญาปราดเปรื่อง อายุสิบหกก็สอบได้เตรียมบัณฑิต ต่อมารับราชการได้เป็นถึงข้าหลวง ผู้ตรวจการ มณฑลเสฉวน ซึ่งจะต้องเดินทางผ่านพุทธบรรพตหัวซัน

สามวันก่อนหน้าที่ขบวนของหวังฝูผู้ตรวจการจะผ่านมาทางหัวซัน พระอาจารย์ ได้สั่งให้ทำความสะอาดวัดกันไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อขบวนของผู้ตรวจการเดินทางมาถึงเชิงเขา ท่านก็สั่งการทหารผู้ติดตามให้พักขบวนไว้ ท่านเองจะขึ้นไปชมหัวซัน พระอาจารย์ ได้นำคณะศิษย์พร้อมกันออกมาต้อนรับผู้ตรวจการ และนำชมสถานที่ต่าง ๆ ในวัด

ผู้ตรวจการรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นสถานที่อย่างบอกไม่ถูกจึงเรียนถามพระอาจารย์ว่า "ท่านบวชอยู่บนนี้กี่ปีแล้ว" พระอาจารย์ตอบว่า "อาตมาอายุ 122 ปี ออกบวชเมื่ออายุได้สิบสองอยู่บนภูเขานี้มาหนึ่งร้อยสิบปี อาตมาคอยผู้ตรวจการมายี่สิบปีแล้ว"

ผู้ตรวจการรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาพระอาจารย์ยิ่งนัก จึงกราบขอให้ท่านได้เปิดเผยข้อมูลถึงเหตุที่ท่านต้องรอคอย

พระอาจารย์ขอให้คนอื่น ๆ ออกไปจากที่นั่น กล่าวขออภัยหากจะมีคำพูดใดล่วงเกินต่อผู้ตรวจการ (พระอาจารย์เห็นอดีตชาติ แต่ผู้ตรวจการเห็นแต่อัตตาตัวตนที่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่อยู่ขณะนี้ จึงอาจเกิดความไม่พอใจได้)

ชาติแรกที่จะกล่าวถึง ท่านมีฐานะเป็นบัณฑิตแต่ไม่คิดใฝ่ก้าวหน้า ชอบใช้เล่ห์มายา ฆ่าคนด้วยพู่กัน เข้านอกออกในราชฐาน รังควานกดขี่คนยากไร้ เป็นที่สาปแช่งของคนทั้งหลาย เมื่อตายตกนรกไปพญายมก็ลงทัณฑ์ให้เกิดเป็นเดรัจฉาน คือวัว

แล้วพระอาจารย์ก็เล่าถึงว่า ลูกวัวตัวนั้นกตัญญูรู้จักคาบมีดไปซ่อนเพื่อช่วยชีวิตแม่ไว้ การกระทำของลูกวัวมีผลให้คนบาปกลับตัว พาวัวแม่ลูกมาบำเพ็ญที่หัวซันนี้อย่างไร

ผู้ตรวจการถึงกับยืนขึ้นอย่างตื่นเต้นเมื่อพระอาจารย์เล่ามาถึงตรงนี้ ท่านละล่ำละลักว่า "มิน่าเล่า ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราฝันเกือบทุกคืนว่าได้ขึ้นมาเขาหัวซัน บัดนี้แม่วัวของเรายังมีชีวิตอยู่หรือไม่"

พระอาจารย์จึงเล่าต่อไป ถึงแม่วัวที่ตายแล้วไปเกิดใหม่ยากจนกำพร้ามาเป็นขอทานท่านให้บวชเป็นสามเณร และด้วยจิตสำนึกในความกตัญญู ลูกวัวก็เหมือนจะรู้อีกว่าเณรน้อยคือแม่วัวของตัวมาเกิดใหม่ จึงรับใช้หาบน้ำแทน

พูดถึงตรงนี้ ผู้ตรวจการก็แย้งว่า "วัวมีสันหลังเรียบจะหาบน้ำได้อย่างไร"

พระอาจารย์จึงได้อรรถาธิบายต่อไปว่า "เมื่อกุศลจิตแรงกล้าเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมจะสนองรับ ด้วยความกตัญญูอันแรงกล้าของลูกวัวสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นในไม่ช้า และคิดว่าโหนกเนื้อนั้นอาจจะติดตัวมาเมื่อเกิดเป็นคนด้วย"

ผู้ตรวจการอุทานด้วยความตกใจว่า "คนบาปที่ต้องเกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้าไม่กตัญญูไม่รู้ว่าจะต้องรับกรรมไปอีกนานเท่าไหร่"

พระอาจารย์พยักหน้า แล้วเล่าต่อไปว่า

"ชาตินี้ลูกวัวเกิดเป็นคน ก็คือท่านนั่นเอง ไม่ทราบว่าท่านมีโหนกเนื้ออยู่กลางหลังหรือเปล่า" ผู้ตรวจการมือสั่นเทาถอดเสื้อเปิดหลังให้พระอาจารย์ดู ปรากฏว่าโหนดเนื้อเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเหมือนที่เกิดขึ้นบนกลางหลังลูกวัวไม่มีผิด กฏแห่งกรรมที่ปฏิเสธไม่ได้นี้ ไม่เฉพาะที่พระอาจารย์เล่าให้ฟังแต่ผู้ตรวจการเองก็สัมผัสความเป็นจริงทั้งหมดได้ ท่านก้มลงกราบแทบเท้าพระอาจารย์

พระอาจารย์ได้โปรดให้โอวาท ขอให้เป็นขุนนางใจซื่อมือสะอาดให้เว้นจากกรรมทั้งปวง

ผู้ตรวจการขอพบแม่วัวซึ่งบัดนี้คือพระเหล่าเหมา ขอพบเจ้าอู่คนฆ่าวัวซึ่งเปลี่ยนชะตาชีวิตทั้งของตนและวัวแม่ลูก แต่พระอาจารย์กำชับมิให้แพร่งพรายความลับสวรรค์นี้ให้คนทั้งสองรู้

ผู้ตรวจการถวายเงินจำนวนหนึ่งบำรุงวัด แล้วมนัสการลา ต่อมาท่านได้ลาออกจากราชการ กลับไปอยู่บ้านปรนนิบัติบิดามารดา เมื่อสิ้นผู้มีพระคุณทั้งสองแล้ว ก็เดินทางมาขอบวชเรียนอยู่กับพระอาจารย์

สำหรับเจ้าอู่ ครั้งหนึ่งของชีวิตตอนต้น เคยเป็นคนฆ่าวัวใจบาปหยาบช้า ต่อมาได้ถือบวชบำเพ็ญบุญ เขาจะต้องเวียนว่ายเกิดกายเป็นเดรัจฉานชดใช้กรรมชาติหนึ่งก่อน แล้วจึงไปเกิดกายเป็นลูกชายนักบุญจาง

วันที่เขาเกิด นักบุญจางเห็นพระรูปหนึ่งเข้ามาในบ้าน เมื่อเกิดมาบนหน้าผากมีเนื้อนูนกลมใหญ่ เขาได้ชื่อว่าจางซู่ มีความรุ่งเรืองในชีวิต เป็นถึงเตรียมบัณฑิตหลวง

ไม่นานต่อมา พระอาจารย์ก็ได้บัญชาให้ พระหวังฝู (อดีตผู้ตรวจการ) ไปนำพาจางซู่มาบวชบำเพ็ญ เป็นอันได้ตอบแทนคุณแก่กันไปในครั้งหนึ่ง

...................................................................................................................................................

ที่มาของบทความ จากหนังสือใครกำหนด ชุดที่ 4  โดย อาจารย์ศุภนิมิต ผู้แปลและเรียบเรียง




วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อายาจิตภัตตชาดก

อายาจิตภัตตชาดก


( อ่านว่า อา-ยา-จิต-ตะ-พัด-ตะ-ชา-ดก )

อายาจนะภัตต หมายถึง อาหารที่นำไปวิงวอนแก้บน



องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าชาดกนี้ที่เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี

มูลเหตุที่พระองค์ตรัสชาดกนี้เป็นเพราะ ครั้งนั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเห็นชาวบ้านชาวเมืองพากันฆ่าสัตว์แก้บน เนื่องจากเดินทางค้าขายกลับมาโดยปลอดภัยและได้กำไรดี พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้นจึงพากันไปเข้าเฝ้า เพื่อกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า...การฆ่าสัตว์แก้บนจะได้บุญหรือ ?

พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า...ไม่ได้บุญเลย พร้อมกับทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ
นำเอา "อายาจิตภัตตชาดก" มาตรัสเล่าให้ฟังดังนี้

ในอดีตกาลมีพ่อค้าคนหนึ่งจะเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง จึงพาบริวารมากราบไหว้ต้นไทรใหญ่หน้าบ้านของตน พร้อมกับอธิษฐานขอให้เทพยดาที่สิงสถิตอยู่ช่วยปกป้องคุ้มครองตนเองและคณะให้เดินทางโดยปลอดภัยค้าขายได้กำไรงาม เมื่อกลับมาแล้วจะแก้บนให้ยิ่งใหญ่

ในการเดินทางพ่อค้าได้ตระเตรียมการอย่างรอบคอบ ระหว่างทางได้ใช้เสบียงอาหารอย่างประหยัด พ่อค้าท่านนี้เป็นผู้มีปัญญา ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางได้ศึกษาสภาพภูมิอากาศและการทำมาหากิน ตลอดจนสภาพความเป็นอยู่ของคนในเมืองที่จะไปค้าขายอย่างถี่ถ้วน จึงได้นำสินค้าที่หายากแปลกใหม่และเหมาะสำหรับเมืองนั้น

เมื่อไปถึง...ชาวเมืองทั้งหลายจึงพากันมาอุดหนุนอย่างคับคั่ง พ่อค้าจึงขายสินค้าได้กำไรงามดังที่หวังไว้ ในขณะเดียวกันก่อนที่จะเดินทางกลับก็ได้ซื้อสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการของชาวเมืองของตน บรรทุกจนเต็มเกวียนกลับมาขายอีกด้วย

ตลอดทางกลับบ้านพ่อค้าสุขใจยิ่งนัก เขาระลึกงคุณเทวดาที่ได้ช่วยปกป้องคุ้มครองตนและบริวารให้ปลอดภัย อีกทั้งค้าขายได้กำไรงาม ไม่นานเมื่อข่าวการกลับมาของพ่อค้าแพร่กระจายไปสู่เพื่อนบ้านทั้งใกล้และไกล พวกเขาจึงพากันมาต้อนรับและแสดงความยินดี

พ่อค้าได้สั่งให้บริวาร ฆ่าแพะ แกะ เป็ด ไก่ มาทำอาหารมากมาย แล้วนำมาถวายแก้บนที่ต้นไทรใหญ่หน้าบ้าน

ขณะนั้นเอง รุกขเทวดาก็พลับปรากฏกายขึ้นพร้อมกับถามว่า "ท่านวาณิช...ท่านฆ่าสัตว์มากมาย เพื่ออะไรกันรึ ?" 

พ่อค้าและบริวารตลอดจนฝูงชนในที่นั้น พากันก้มลงกราบอย่างนอบน้อม และพ่อค้าได้กล่าวขึ้นว่า

"พวกข้าพเจ้าค้าขายได้กำไรอย่างงาม ทั้งการเดินทางก็ปลอดภัยราบรื่น เป็นเพราะบารมีของท่านช่วยคุ้มครองพวกข้าพเจ้าจึงพากันมาถวายอาหารแก้บนเพื่อตอบแทนพระคุณ"

รุกขเทวดาได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะและกล่าวว่า...

"พุทโ่ธ่เอ๋ย ! พวกท่านเข้าใจผิดเสียแล้ว ตลอดเวลาเราก็อยู่ที่ต้นไทรนี้ ไม่ได้ติดตามไปช่วยอะไรใครเลย ที่ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพและค้าขายได้กำไรงาม นั่นเป็นเพราะความรอบคอบมีสติและความสามารถของท่านเองต่างหาก ไม่ใช่เพราะเราหรอก

เราขอเดือนว่า ถ้าท่านปรารถนาจะแก้บนก็จงแก้ด้วยการไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเถิด เมื่อท่านละโลกนี้ไปแล้วท่านก็จะพ้นทุกข์ในโลกหน้า คือ ไม่ต้องไปตกอยู่ในอบายภูมิทั้ง 4

แต่ถ้าท่านแก้บนด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็เท่ากับถลำเข้าไปในความทุกข์อย่างสาหัส เพราะเป็นการก่อกรรมทำบาป ผู้มีปัญญาไม่ทำเช่นนี้ วิธีนี้เป็นวิธีของคนพาลโดยแท้"

รุกขเทวดาได้อธิบายแจกแจงโทษของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วก็อันตรธานหายไป พ่อค้าพร้อมทั้งบริวารและบรรดาเพื่อนบ้านได้ฟังแล้ว ต่างพากันกลับบาป เลิกการเบียดเบียนหยุดฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา

เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ต่างก็ได้ไปเกิดในสุคติภพตามกำลังแห่งกรรมดีของตนโดยถ้วนหน้า

ครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสจบ จึงทรงประชุมชาดกว่า รุกขเทวดาในครั้งนั้นได้มาเป็นเพระองค์เอง

...................................................................................................................................................................

ข้อคิดจากชาดก


๑. ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ไม่ว่าจะโดยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมไม่ได้บุญเลย แต่กลับจะได้รับทุกข์ เพราะเป็นการก่อบาปก่อเวรให้ตนเองทั้งสิ้น

๒. การทำพลีกรรมด้วยดอกไม้ธูปเทียน หรือถวายทานแด่พระภิกษุสามเณร แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ เป็นการบวงสรวงเทวดาอย่างถูกวิธี เรียกว่า เทวตาพลี


๓. การบนบานศาลกล่าว เป็นเรื่องของคนงมงายไร้เหตุผล เพราะเมื่อบุคคลประกอบเหตุที่ดีไว้แล้ว คือ ตั้งใจทำงานด้วยความมีสติรอบคอบแล้ว ย่อมได้รับผลสำเร็จอย่างแน่นอน




 


วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พระพุทธองค์ทรงมีจิตเมตตา เห็นเวไนยใต้หล้าเป็นดั่งลูกของพระองค์ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา


"ลองคิดดูสิว่าพวกเจ้าแต่ละคนแตกต่างจากปฏิปทาของพระพุทธองค์ที่ตรงไหน?  เริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุด ศิษย์คนไหนที่เริ่มฝึกกินเจแล้วยกมือขึ้น? (มีญาติธรรมหลายท่านยกมือ) ดีมาก!

เหตุใดเซียนพุทธะถึงต้องกินเจ?  เพราะเซียนพุทธะไม่ชอบกินเนื้อหรือ?  หรือเป็นเพราะเซียนพุทธะมีจิตเมตตา? (เพราะมีจิตเมตตา) เพราะพระพุทธองค์ทรงมีจิตเมตตา เห็นเวไนยใต้หล้าเป็นดั่งลูกของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ สุนัข หรือจะเป็นแมว พระองค์ล้วนรักและทะนุถนอมทุกชีวิต

ดังนั้นพระพุทธองค์จึงไม่กินเนื้อของสรรพสัตว์เพื่อสนองความโลภอยากของพระองค์ ในจุดนี้ศิษย์ทั้งหลายยินดีจะศึกษาเจริญรอยตามพระองค์ไหม? (ยินดี) ศิษย์ย่อมต้องเริ่มฝึกฝนเรียนรู้จากจุดนี้ ต้องให้เวลากับตนเอง และต้องมีเป้าหมายด้วย ดีไหม? "

กินเนื้อเขาไปครึ่งกิโล ต้องชดใช้คืนเขาไปห้าขีด - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา

พระโอวาทเซียนน้อยสี่ถง เมตตา

"เพลงเพราะไหม? สองวันนี้ทานเจแล้วดีไหม? (ดี) อร่อยหรือเปล่า? (อร่อย) อร่อยจริงๆหรือแค่ตอบไปอย่างนั้นเอง? (อร่อยจริงๆ) ในสองวันนี้พี่ๆชอบทานอะไรที่สุด? (ยำ) เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ ใช่ไหม? (ใช่) ถ้าจืดๆจะไม่ชอบทานใช่ไหม? (ชอบเหมือนกัน) ชอบจริงๆ หรือว่าชอบ เปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มากกว่า? (ชอบเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ มากกว่า) 

มีใครที่ไม่ทานเผ็ดบ้าง? (ญาติธรรมบางท่านยกมือ) น้อยมากๆ ใช่ไหม? เป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือเปล่าถึงทำให้พี่ๆไม่ชอบทานรสเผ็ด?  หรือเป็นเพราะตนเองชอบทานเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ อยู่แล้ว? (ใช่) แต่ว่าความเคยชินอย่างนี้มาจากไหน?  พี่ติดมาจากคนอื่น หรือเป็นเพราะตัวพี่ชอบเองอยู่แล้ว เป็นเพราะว่าตนเองชอบอยู่แล้วใช่ไหม? แล้วมีใครไหมที่ติดนิสัยของคนอื่นมา แล้วจึงกลายมาเป็นความเคยชินของตนเอง? (ไม่มี) น่าจะมีนะ ความเคยชินมีทั้งดีและไม่ดี พี่ๆชอบแบบดีหรือไม่ดี? (ดี) ลองถามตนเองดูสิว่ามีความเคยชินที่ไม่ดีบ้างไหม? (มี) 

ก็เหมือนที่บางคนต้องกินเนื้อสัตว์ทุกวัน หากวันไหนไม่ได้กินเนื้อก็จะทนไม่ได้ มีไหม? (มี) เมื่อสิ่งนี้กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว พี่ๆจะเปลี่ยนมาทานเจ จะง่ายไหม? (ไม่ง่าย) แม้พี่ๆจะไม่ได้ติดกินเนื้อสัตว์ แต่ถ้ามีเนื้อสัตว์ให้กินก็จะดีมากๆเลยใช่ไหม? ดังนั้นพี่ๆจึงยังเสียดายชิ้นเนื้อในปากอยู่ใช่หรือเปล่า? พี่เลี้ยงห้ามช่วยตอบ เพราะพี่ๆล้วนเข้าใจในหลักธรรมแล้ว

ฉะนั้น ที่พวกเรากินเจไม่ใช่แค่ให้ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น ยังมีอะไรอีก?  มีใครรู้บ้าง? กินเจเพื่อตัดกรรมใช่ไหม? (ใช่) พี่ๆเคยได้ยินไหม "กินเนื้อเขาไปครึ่งกิโล ต้องชดใช้คืนเขาไปห้าขีด" นั่นคือติดเขาไว้เท่าไรก็ต้องชดใช้คืนไปมากเท่านั้นใช่ไหม? (ใช่) แล้วจะเริ่มตัดกรรมตั้งแต่ตอนนี้ หรือพอจบสามวันนี้แล้วก็จะไปผูกกรรมต่อ? (เริ่มตัดกรรมตั้งแต่ตอนนี้) 

มนุษย์มักชอบกรรมดี ไม่ชอบกรรมชั่ว ใช่ไหม? (ใช่) ในเมื่อชอบทำกรรมดีอยากตัดกรรมชั่ว เป็นไปได้ไหมที่จะเริ่มตัดกรรมตั้งแต่ตอนนี้? (เป็นไปได้) พี่ๆฟังเข้าใจไหม?"

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สัตว์ทั้งหลายต่างก็เป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรของเรา - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา

พระโอวาทพระพุทธจี้กงเมตตา

"เมื่อสักครู่ได้ฟังหัวข้ออะไร ? (ความหมายของการรักษาศีลเจ) ฟังจบแล้วก็ไม่กล้ากินเนื้อสัตว์แล้วใช่ไหม? (ใช่) เช่นนี้กลับไปบ้านก็ไม่กินเนื้อสัตว์อีกแล้วใช่ไหม? (ใช่) ยังไม่แน่ว่าจะทำได้หรอก เพราะจิตเมตตากรุณาของศิษย์ทั้งหลาย ยังไม่หลั่งไหลออกมาอย่างแท้จริง ศิษย์ได้ฟังไปเมื่อสักครู่ ก็เริ่มรู้สึกว่าเราควรจะต้องมีจิตที่เมตตา อยากจะละเว้นการฆ่าปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลาย อยากถือศีลเจตอนนี้มีความคิดอย่างนี้ใช่ไหม? (ใช่)

แต่ศิษย์ทั้งหลายจะประคองรักษาจิตใจอย่างนี้ได้นานเท่าไหร่ ใจอยากจะถือศีลเจ แต่พอกลับไปถึงบ้าน เห็นคนที่บ้านทำอาหารที่มีเนื้อสัตว์ และก็เป็นเนื้อสัตว์ที่ศิษย์ชอบกินมากอีกด้วย ศิษย์จะทำอย่างไร ศิษย์จิตใจไม่หวั่นไหวจริงๆไหม?  ยังไม่แน่หรอก ดังนั้นจะต้องมีจิตที่เวทนาสงสารสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง สัตว์ทั้งหลายไม่ควรจะต้องถูกคนกินขอถามศิษย์ทั้งหลายว่าสัตว์ต่างๆ สมควรถูกกินเป็นอาหารของมนุษย์หรือไม่?

มีคนบอกว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นแผ่นหลังชี้ฟ้า คนจึงกินสัตว์ได้การกล่าวเช่นนี้ย่อมไม่มีเหตุผล เพราะคนเรายามแก่เฒ่าหลังค่อมไหม? (ค่อม) คนที่แก่แล้วหลังค่อม แผ่นหลังชี้ฟ้า อย่างนี้เราก็เอาคนแก่มากินได้ใช่ไหม? (ไม่ใช่) ดังนั้นมนุษย์โลกเพื่อจะสนองความอยากของปาก เพื่อจะสนองความอยากกินเนื้อสัตว์ จึงหาข้ออ้างมากมายสารพัดให้กับตนเอง บ้างก็บอกว่าสัตว์ทั้งหลาย เดิมทีก็เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์อยู่แล้ว แต่ว่าวันนี้ศิษย์ได้รับวิถีธรรมแล้ว มีโอกาสได้เข้าชั้นประชุมธรรมศักดิ์สิทธิ์สามวัน ได้ฟังหัวข้อความหมายของการรักษาศีลเจแล้ว ถึงตอนนี้คิดว่าสัตว์ทั้งหลายสมควรจะให้เรากินเลือดเนื้ออีกไหม?

สัตว์เดรัจฉานนั้นเดิมทีเขาเป็นอะไร?  สัตว์ทั้งหลายก็มีจิตญาณเหมือนกัน แต่เป็นเพราะอดีตชาติเขาทำสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นชาตินี้จึงต้องเวียนว่ายกลายเป็นสัตว์เดรัจฉานถูกคนเข่นฆ่าเชือดเฉือน นี่ก็คือวิบากกรรมของเขา ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายไม่สมควรจะต้องมาเป็นอาหารของมนุษย์ ชาตินี้เขาต้องมาเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรืออาจจะมีอีกหลายชาติที่ต้องเป็นสัตว์เดรัจฉาน รอจนวาระกรรมเขาหมดแล้ววิบากกรรมที่ต้องได้รับจากบาปกรรมของเขาหมดแล้ว และหากเขาโชคดี อีกทั้งวิบากกรรมมิได้หนักหนา เขาก็อาจจะได้เกิดมาเป็นคนก็ได้ใช่ไหม?  เช่นนี้แสดงว่าเขาก็มีจิตญาณหรือไม่?  เมื่อเขามีโอกาสเกิดเป็นคนได้ ย่อมแสดงว่าจิตญาณของเขาก็มาจากพระแม่องค์ธรรมเหมือนกับศิษย์ทั้งหลาย

มนุษย์โลกต่างก็มีจิตญาณซึ่งแบ่งแยกออกมาจากดวงญาณของพระแม่องค์ธรรมนั่นเอง ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายต่างก็เป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรของเราใช่ไหม?  ถ้าศิษย์คิดในจุดนี้ว่าเขาเป็นดั่งพี่น้องร่วมอุทรกับเรา จิตญาณของเขาก็แบ่งมาจากพระแม่องค์ธรรมเหมือนกัน เพียงแต่อดีตชาติเขาทำสิ่งที่ไม่ดี ชาตินี้จึงต้องได้รับผลกรรมเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องเกิดเป็นสัตว์ก็ต้องทุกข์ทนน่าสงสารมากแล้ว ศิษย์ทั้งหลายอย่าได้เบียดเบียนกินเลือดเนื้อเขาอีกเลย ศิษย์ต้องบอกกับตัวเองเช่นนี้ ศิษย์จึงจะสามารถปล่อยชิ้นเนื้อจากปากได้ และหากศิษย์มีปัญญาอย่างแท้จริง ศิษย์ต้องคิดทบทวนดูว่าการกินเต้าหู้ผักสดผลไม้กับการกินเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เรารับรู้รสชาติได้ก็แค่ช่วงของลิ้นเท่านั้นเอง ผ่านปากเราจนถึงลำคอ รับรู้รสชาติก็เพียงความยาวแค่สามนิ้วเท่านั้นเอง พอลงไปจนถึงกระเพาะของเราแล้วรสชาติอะไรก็ไม่รู้สึกแล้ว ใช่ไหม?

ดังนั้นการกินอาหารก็เพื่ออิ่มท้องไม่ทำให้ร่างกายหิวจนเสียหายเท่านั้นเอง แล้วเหตุใดเพื่อจะสนองความอยากของปากเราถึงกับต้องเข่นฆ่าทำร้ายชีวิตผู้อื่นด้วย ที่ผ่านมาศิษย์ยังไม่เข้าใจ มีคำกล่าวว่าไม่รู้ย่อมไม่ผิดแต่ตอนนี้เมื่อรู้และเข้าใจแล้ว ก็ควรจะรู้จักปล่อยวางได้แล้ว ใช่ไหม?  แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่รู้ย่อมไม่ผิดหรือเปล่า?  อาจารย์จะยกตัวอย่างให้ฟังเรื่องหนึ่งก็แล้วกัน ถ้าเหล็กแท่งหนึ่งถูกเผาจนร้อนแดง คนหนึ่งที่ไม่รู้ผ่านมา กับอีกคนหนึ่งที่รู้ ทั้งสองชนแท่งเหล็กร้อนนี้ คนที่ไม่รู้โดนแท่งเหล็กร้อนนี้ก็จะไม่รู้สึกร้อนหรือเปล่า? (ไม่) เช่นนี้ศิษย์ทั้งหลายเข้าใจหรือยัง? (เข้าใจ) เพราะฉะนั้นความผิดบาปจากการกินที่ผ่านมา กินเลือดเนื้อเขามามากเท่าไหร่แล้ว วันนี้เมื่อศิษย์ทั้งหลายเข้าใจแล้ว ศิษย์ก็ต้องบอกกับตัวเอง จะต้องบังเกิดแรงปณิธานว่าเราจะไม่กินพวกเขาอีก เราจะไม่เกี่ยวกรรมกับสรรพสัตว์สรรพชีวิตทั้งหลายอีกต่อไป เราจะชำระหนี้สินเวรกรรม เราจะถือศีลเจ เราจะเป็นผู้ที่มีจิตเมตตา

สมัยก่อนมีปราชญ์ท่านหนึ่งชื่อว่า "เมิ่งจื่อ" ท่านได้กล่าวว่า "ได้เห็นสัตว์ที่มีชีวิต ก็ไม่อาจทนเห็นเขาต้องตาย ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดทรมาน จากการถูกเชือดเฉือนไม่อาจกินเนื้อของเขาลง" นี่เรียกว่าจิตที่เมตตากรุณา เข้าใจไหม?

ดังนั้นหนังสือธรรมะ พระโอวาทอริยะปราชญ์ ต้องศึกษาทำความเข้าใจให้มาก ถึงจะรู้ว่าจะบำเพ็ญปฏิบัติอย่างไร สมควรจะมุ่งไปสู่เป้าหมายใด ยังมีจริยะในการดำรงตนปฏิบัติต่อผู้อื่น ต้องรู้จักให้ความเคารพต่อสรรพสัตว์และเวไนยทั้งหลาย ลองย้อนคิดดูว่าหากมีดเล่มนันเชือดเฉือนอยู่บนเนื้อของเราจะเจ็บปวดไหม? (เจ็บปวด) สัตว์ทั้งหลายก็มีความรู้สึก เขาย่อมรู้สึกเจ็บปวดเช่นกัน ดังนั้นท่านเมิ่งจื่อจึงกล่าวว่า ได้ยินเสียงร้องขอชีวิตไม่อาจกินเนื้อของเขาได้เข้าใจไหม?

ต่อจากนี้ไปก็อยู่ที่ศิษย์ทั้งหลายจะไปดำเนินอย่างไร อยู่ที่ศิษย์ทั้งหลายว่ามีจิตเมตตาอย่างแท้จริงหรือไม่ ต้องการจะบำเพ็ญหรือไม่ ต้องการจะวางมีดลงหรือยัง ตั้งความมุ่งมั่นที่จะสำเร็จเป็นพุทธะแล้วหรือไม่ ที่บอกให้ศิษย์ทั้งหลายวางมีดลงก็เพราะเนื้อสัตว์ทั้งหลายที่ศิษย์กินนั้นล้วนผ่านคมมีดมาทั้งสิ้นใช่ไหม? "




วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บำเพ็ญธรรมต้องเริ่มต้นแก้ไขที่จิตใจก่อน - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (หย่งชี่เซียนถง ไคซินเซียนถง) เมตตา


"ลองคิดดูสิว่าจิตใจของตนนั้น ทุกวันกำลังคิดถึงอะไร คิดดีมากกว่า หรือคิดไม่ดีมากกว่า? บำเพ็ญธรรมต้องเริ่มต้นแก้ไขที่จิตใจก่อน อย่างเช่นพี่ๆชอบกินเนื้อสัตว์ พี่ๆอดใจไว้ชั่วครู่ไม่ไปกินมัน นั่นเป็นเพียงการสะกดมันเอาไว้ ตอนนี้อดทนไม่กินเนื้อสัตว์ได้ แต่ความอดทนนั้นก็ไม่ยาวนาน

ดังนั้นต้องเริ่มพิจารณาที่จิตใจก่อน ต้องคิดดูว่าเนื้อของสัตว์เหล่านั้น หากพี่ๆกินเขา เขาก็จะเจ็บปวด เขาก็เป็นเหมือนพี่ๆที่อยากมีชีวิตแข็งแรงต่อไป เมื่อพิจารณาถึงความเจ็บปวดของเวไนยแล้ว ในใจก็จะบังเกิดจิตเมตตา พี่ๆก็ไม่อยากทานเนื้อสัตว์ไปเองโดยปริยาย นี่ก็คือการเริ่มต้นบำเพ็ญจิต"

วันเสาร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2557

เซ่นไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์พึงใช้ผลไม้ งดเว้นชีวิตเลือดเนื้อสรรพสัตว์ทั้งหลาย

พระโอวาทเทพเจ้าเตาไฟ 


"ถึงคราวเซ่นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทีไร ครัวก็กลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ที่คลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด หมู เป็ด ไก่ แพะ ปลา ต้องกระโดดน้ำตายกันเป็นฝูงๆ เมื่อพวกมันโดดลงน้ำเพียงหวีดร้องแล้วก็ต้องตายลงอย่างน่าอนาจ องค์พระเจ้าเทพารักษ์ก็ได้แต่สลดหดหู่ ช่วยอะไรไม่ได้ แล้ววิญญาณ หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ ฯลฯ ได้แต่ไปประท้วงต่อหน้าพระเจ้าเทพารักษ์ว่า...."ถ้าไม่ใช่มนุษย์ต้องเซ่นไหว้พวกท่าน พวกเราก็ไม่ต้องถูกจับมาฆ่าแกงอย่างนี้ พวกเราขอประท้วงพวกท่านเสี้ยมสอนมนุษย์ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต" บัดนั้นเอง เหล่าเทวาอารักษ์ต้องนิ่งอั้นไม่รู้จะกล่าวอย่างไร กล่าวสบทว่า "ไม่มีเรื่องเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด ที่มนุษย์ทำไปด้วยสนองตัณหาตัวเอง และเพื่อประจบเทวารักษ์เท่านั้น" วิญญาณ หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ ฯลฯ เมื่อไม่รู้จะไปประท้วงกับใคร ก็ได้แต่ไปร้องขอความเป็นธรรมกับพระยายม"

"เอาหมู(เนื้อสัตว์ต่างๆ)มาวางบนแท่นบูชา จะให้เทวารักษ์กินได้อย่างไร เพราะจะต้องมีมีดเชือดหมู น้ำจิ้มแล้วสับเป็นชิ้นๆ จิ้มน้ำจิ้ม มิฉะนั้นจะมีรสชาติกระเดือกลงคอได้อย่างไร บางครั้งเซ่นไหว้กันนานหน่อย ก็จะมีแมลงวันตอม ถ้าเหล่าเทวารักษ์ตะกละกินไป ก็เห็นทีจะต้องท้องเดินกันทุกองค์ จะต้องไปหาหมอรับการรักษา ที่หนักหน่อยอาจต้องหามส่งโรงพยาบาลสวรรค์กันบ้าง

การที่มี หมู เป็ด ไก่ ฯลฯ เต็มโต๊ะเซ่นไหว้ มีแต่ทำให้ข้าฯ(เทพเจ้าเต้าไฟ)รู้สึกสะอิดสะเอียน จะกินได้ที่ไหน ฉะนั้นการเซ่นไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห้ามนำเอาซากสัตว์มาเซ่นไหว้เทวาอารักษ์เป็นอันขาด การเอาซากสัตว์มาเซ่นไหว้มันไม่ถูกเรื่องเลย แต่ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้มาเซ่นพวกผีปอบ พวกมันหิวจัด พวกมันก็จะแย่งกันเขมือบ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ไม่แปลกอะไร แต่เหล่าเทวาอารักษ์บนสรวงสวรรค์ มีละอองไอทิพย์ดื่มกินเป็นอมตะ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมจะมีความอยากกินในซากสัตว์บนโต๊ะเซ่นไหว้ เหตุผลของการเซ่นไหว้ดังได้กล่าวไว้ข้างต้นคงเข้าใจ จึงหวังว่ามนุษย์จะเซ่นไหว้เทวาอารักษ์ควรเลิกประเพณีนิยมดั้งเดิมที่นำเนื้อสัตว์มาเซ่นไหว้เสีย แต่หากมนุษย์จะอยากกินเองข้าฯ(เทพเจ้าเตาไฟ)ก็ไม่ว่ากระไร แต่ถ้าจะเซ่นไหว้เทวาอารักษ์ ก็ควรเซ่นไหว้ด้วยผลหมากรากไม้สิ่งของที่ไม่ผ่านควันไฟโลกเหล่านี้ ใส่น้ำมาเซ่นไหว้เทวารักษ์จะรับไว้ จะขออะไรจึงจะได้สมความปรารถนา"





วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

ครัวสวรรค์...ครัวของผู้บำเพ็ญธรรม


พระโอวาทเทพเจ้าเตาไฟ 


        "ครัวสวรรค์เป็นครัวของเทพเจ้า ในนั้นมีแต่ผักและผลไม้ อาหารธรรมชาติ สดและอร่อยไม่มีกลิ่นคาวเลือดชวนให้น้ำลายหยด ครอบครัวผู้บำเพ็ญธรรมไม่ฆ่าสัตว์ปรุงแต่อาหารเจ เหมือนถ้ำเทวดา ดื่มแต่น้ำอมฤตกินแต่ผลไม้ทิพย์ จึงเรียกว่าครัวสวรรค์ ในครัวของคนธรรมดาจะมีแต่หมูเป็ดไก่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเป็นโรงฆ่าสัตว์น้อยๆ จึงเรียกครัวสวรรค์ไม่ได้"





วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

การถือศีลเจสามารถที่จะรอดพ้นเภทภัยได้ - พระพุทธจี้กง เมตตา


พระพุทธจี้กง เมตตา

        "การถือศีลเจสามารถที่จะรอดพ้นจากเภทภัยได้ ถ้าหากเจ้ายังโลภอยากติดอยู่กับรสชาติเนื้อสัตว์ ต้องระวังตัวเองให้ดีนะ อย่าได้โทษว่าอาจารย์ไม่เตือน ตอนนี้เหตุต้นผลกรรม แรงแห่งกรรมรุนแรงเพิ่มขึ้นไม่รู้กี่เท่าตัว ถ้าหากจะทวงหนี้ แม้กระทั่งชีวิตก็เอาไปได้ เจ้าคงจะคิดไม่ถึง ในตอนที่เจ้าคิดได้ก็อาจจะสายไปแล้ว พูดถึงความเป็นอนิจจัง ทุกเรื่องก็เป็นอนิจจังใช่ไหม?(ใช่) ตอนที่เขาจะทวงเอาชีวิตก็ไม่มีเงื่อนไขใดต่อรองได้ใช่ไหม?(ใช่) ยกเว้นแต่เจ้ามีกุศลมากพอ เจ้าไม่สร้างหนี้กรรมอีกถึงจะคลี่คลายได้ ถ้าหากเจ้ายังโลภอยากติดอยู่กับรสชาติของเนื้อสัตว์ กรรมสัมพันธ์นี้ตัดไม่ขาด แล้วศิษย์ทั้งหลายจะต้องติดหนี้ไม่ถึงเมื่อไหร่? หนี้กรรมนี้จะชดใช้หมดได้เมื่อไหร่? ดังนั้น บำเพ็ญชาตินี้จะต้องให้สำเร็จในชาตินี้ เข้าใจในความหมายของอาจารย์ไหม? (เข้าใจ)"







วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แสดงจิตเมตตาของพวกเจ้าออกมา - พระโอวาทพระพุทธจี้กง เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา


     "ศิษย์ทุกคนจะต้องมอบจิตใจของพวกเจ้าออกมา แสดงจิตเมตตาของพวกเจ้าออกมา อย่าได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอีกดีไหม? (ดี) ชีวิตก็คือสิ่งมีชีวิต เมื่อมีชีวิตทำไมต้องไปฆ่าเขาด้วย ให้เขาดำรงชีวิตของเขาต่อไป ชดใช้ในกรรมของเขาอย่างนั้น ศิษย์ไม่ได้มีบุญกุศลไปฉุดช่วยชีวิตเขาเหล่านั้น ดังนั้นจะต้องเริ่มต้นบำเพ็ญตัวเองก่อนดีไหม? (ดี) อันดับแรกต้องขจัดความอยากทางปากของตัวเองก่อน เช่นนี้จิตเมตตาจึงจะสามารถเปล่งปรากฏออกมาได้"

 




วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

คุณประโยชน์การกินเจ - พระโอวาท

คุณประโยชน์การกินเจ - พระโอวาท


กินเจ ละเว้นการเข่นฆ่า
ก่อเกิดภูมิปัญญาอันผ่องใส
กินเจก่อรักใคร่เหล่าเวไนย
พร้อมช่วยให้ไม่ต้องรับผลแห่งกรรม

กินเจ บุพเพรับพุทธะ
ช่วยขจัดเภทภัยมากรายกล้ำ
ทั้งสร้างเสริมไขกระดูกปลุกหนุนนำ
สารอาหารถ้วนทุกหมู่ได้ครบครัน

กินเจ ป้องกันทั้งเบาหวาน
สติมีจิตญาณที่มุ่งมั่น
ความดันล้นลดหายมลายพลัน
อีกโรคร้ายทั้งหลายนั้นไม่กล้ำกราย

กินเจ ช่วยเสริมบำเพ็ญธรรม
ปรับแก้หนี้เวรกรรมให้ห่างหาย
กินเจพ้นหนี้ปางก่อนแค้นมลาย
ทั้งเทพเซียนทั้งหลายมาคุ้มครอง

กินเจ หล่อเลี้ยงเมตตาจิต
เสริมชีวิตยืนยาวกว่าชนผอง
สุขภาพแข็งแรงตามครรลอง
ทั้งได้ครองผ่านด่านพุทธาลัย

กินเจ ก่อเกิดความงดงาม
ล้างหลอดเลือดแวววาวเม็ดเลือดใส
คุณแห่งการกินเจล้นพ้นไป
หนึ่งมื้อหมื่นชีวิตรอดได้ด้วยกินเจ

บทความที่ได้รับความนิยม