เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ความหมายของคำว่า "เจ" ( 齋 )

ความหมายของคำว่า "เจ" ( 齋 )


ความหมายของคำว่า "เจ" ( 齋 )


อาหารเจ เมนูอาหารเจง่ายๆ 


     ทุกๆท่านสามารถฝึกฝนทำอาหารเจ เมนูอาหารเจง่ายๆ อร่อยๆรับประทานเองได้ที่บ้าน เพียงไม่กี่นาทีคุณก็สามารถลิ้มรสอาหารเจร้อนๆ อร่อยๆฝีมือคุณเอง อีกทั้งยังงดเว้นการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลก เว้นชีวิตสรรพสัตว์ มินำเลือดเนื้อเขามาบำรุงเลี้ยงกายเนื้อเรา เหตุเพราะชีวิตใครใครก็รัก เมตตาธรรมค้ำจุนโลก




ความหมายของคำว่า "เจ" ( 齋 ), ถือศีล กินเจ ,กินเจ เว้นกรรม, อาหารเจ 

อ้างอิงแหล่งที่มาบทความ http://shopping.mindcyber.com/

วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

แจกหนังสือ...หลักธรรม และโภชนการในการกินเจ


แจกหนังสือ...หลักธรรม และโภชนการในการกินเจ


     ร่วมแจกหนังสือ หลักธรรมในการกินเจ รวมถึงแนะนำหลักโภชนการในการรับประทานอาหารเจให้ถูกวิธี เป็นหลังสือเล่มเล็กๆ ขนาด 1/4 ของกระดาษ A4 (จำนวน 30 กว่าหน้า หนังสือที่แจกจะเป็นการถ่ายเอกสารจากหนังสือต้นฉบับ)

ติดต่อขอรับหนังสือ หรือร่วมทำบุญโครงการแจกหนังสือ วิทยาธรรมเป็นทานส่งเสริมผู้คนทานเจ ได้ที่ Cloudatlas0.0@gmail.com



วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

ถือศีลกินเจ ที่แท้จริง



ถือศีลกินเจ ที่แท้จริง


   คนที่ถือศีลกินเจบำเพ็ญธรรม ไม่ใช่เพียงแต่กินของ "สะอาด"...เท่านั้น แต่คำพูดที่พูดออกจากปากก็ต้อง.. สะอาด..ด้วย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไม่พูด จึงจะเรียกว่า "ปากเจ"

"ปากเจ" คือ ปากสะอาดจริง ได้แก่

  1. ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหลอกลวง
  2. ไม่พูดยุแหย่ ให้คนทะเลาะกัน ไม่พูดให้แตกสมัคคี
  3. ไม่พูดคำที่ระคายหูผู้อื่น ไม่ใช้วาจาหยาบคาย
  4. ไม่พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ ไม่พูดในเรื่องที่ไม่จริง ขั้นต่อมา ต้อง..กายเจ.. ด้วยคือ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย จะต้องไม่ทำได้แก่..

"กายเจ" คือ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายจะต้องไม่ทำ ได้แก่

  1. ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์
  2. ไม่ล่วงละเมิดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น
  3. ไม่แย่งของที่ผู้อื่น รักใคร่หวงแหน ไม่ทำผิดประเวณี และที่สำคัญที่สุด คนกินเจ ต้อง ใจเจ ด้วย

"ใจเจ" คือ ใจสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใดๆ ได้แก่

  1. ไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่น 
  2. ไม่คิดอาฆาตพยาบาท อิจฉา ริษยา ปองร้ายผู้อื่น 
  3. มีความคิดเห็นแต่ในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
"ถือศีลกินเจ" ที่แท้จริง ต้องฝึกฝนกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา


"ธง...เจ" คือ ธงชัยแห่งพระโพธิสัตว์


"ธง...เจ" คือ ธงชัยแห่งพระโพธิสัตว์ 


     สัญลักษณ์ "ธงเจ" เป็น เครื่องหมายเตือนสติให้ผู้ที่ตั้งใจรักษาศีลบำเพ็ญธรรม ชำระกายใจของตนให้บริสุทธิ์ ได้ระลึกอยู่เสมอว่า การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาว เป็นการปฏิบัติธรรมรักษาศีลของความเป็นมนุษย์ อันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง อีกทั้งเป็นการเจริญเมตตาการุณยธรรม อันจะทำให้บังเกิดความสงบและสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก

กินเจ เพื่ออะไร ?


1. เพื่อละเว้นกรรม   การไม่กินเนื้อสัตว์เท่ากับไม่สนับสนุนให้เกิดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ซึ่งนับว่าเป็นมหากุศลอย่างยิ่ง

2. เพื่อบำเพ็ญธรรม  การไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับกรรมที่ฆ่าสัตว์กินเนื้อสัตว์ ทำให้เมตตาการุณยธรรมในจิตเจริญงอกงาม จิตใจมีความผ่องใส ไม่เศร้าหมองขุ่นมัว

3. เพื่อสุขภาพที่ดี  การหยุดกินเนื้อสัตว์แม้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะทำให้ร่างกายปรับตัวให้อยู่ในภาวะสมดุล สามารถขับพิษเสียต่างๆ ออกจากร่างกายปรับระบบไหลเวียนโลหิต ระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงสดชื่นแจ่มใสขึ้น

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556

ปลาไหล


   ที่อำเภออู๋ซิง ชาวบ้านคนหนึ่งมีอาชีพขายปลาไหล ภายหลังเกิดเป็นฝีประหลาดทั่วตัว หัวฝีคล้ายหัวปลาไหลเจ็บปวดมากจนตาย

นักศึกษาชื่อโจวอวี้ ชอบกินปลาไหล เขาต้มน้ำให้เดือด แล้วโยนปลาไหลลงไปในหม้อ ปลาไหลตัวหนึ่งโค้ง ส่วนกลางลำตัวให้พ้นน้ำร้อนขึ้นมา กดลงไปมันก็พยายามโค้งขึ้นมาอีก กระทั่งส่วนหัวกับส่วนหากถูกต้มจนสุกแล้ว มันยังเกร็งลำตัวส่วนกลางให้อยู่เหนือน้ำเดือดอย่างนั้น

โจวอวี้แปลกใจ จึงผ่าท้องปลาไหลตัวนั้นออกดู เห็นไข่ปลาไหลเต็มไปหมด...

มันพยายามจะรักษาชีวิตลูกในท้องของมันไว้นั่นเอง นักศึกษาโจวอวี้สะท้อนใจมาก เขาสาบานกับตัวเองว่า "จากนี้เป็นต้นไป จะไม่กินชีวิตเลือดเนื้อเขาอีกเลย"

แต่ก่อน ในวีถีชีวิตของมนุษย์ กำหนดชะตากรรมจากบาปเวรของคน ทุกห้าปีสิบปี จะมีมหันตภัยกวาดล้างใหญ่กันหนึ่งครั้ง

แต่ในวิถีชีวิตของสัตว์ กำหนดชะตากรรมทุกวัน มีมหันตภัยกวาดล้างไม่เว้นวันจากการฆ่ากินของคน

ดังนี้ ในวิถีชีวิตของมนุษย์ กำหนดชะตากรรมจึงถี่ขึ้นทุกวันทุกเวลา มหันตภัยกวาดล้างใหญ่จึงมิใช่ทุกห้าปีสิบปี แต่จะเกิดมีทุกวันทุกเวลา เช่นเดียวกับชะตากรรมของสัตว์ที่ถูกกวาดล้าง



วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

วันเกิด



     จักรพรรดิถังไท่จงฮ่องเต้ สูงส่งเหนือคนนับแสนปกครองดินแดนไพศาล เป็นที่เคารพกราบกรานของประชาราษฎร์ทั่วหน้า ยังไม่กล้าทำการรื่นเริงใดๆในวันเฉลิมพระชนมชันษา พระองค์ทรงให้ประกาศว่า

"ลูกทุกคนจะสนุกสนานรื่นเริงในวันเกิดของตนไม่ได้ เพราะเป็นวันคล้ายใกล้ความตายของแม่ หลังจากวันนั้น แม่ก็เริ่มอดหลับอดนอน เหนื่อยยาก หนักใจ ห่วงใย สะดุ้งผวา กว่าจะเป็นเจ้าในวันนี้ ไม่มีที่จะวางใจลงได้เลย จึงให้พิจารณาตน กำหนดชีวิตตน สร้างคุณค่าตนภายใต้จิตสำนึกกตัญญูกตเวที"

ท่านผู้หญิงสวี มารดาของปราชญ์สวีสีอวี๋ แห่งคุนซัน เป็นคนใจบุญสุนทาน ถือศีลกินเจ ไหว้พระสวดมนต์เป็นกิจวัตรไม่เคยขาด

วันคล้ายวันเกิด นอกจากทำบุญให้ทานทั่วไปแล้ว ท่านยังจัดพิมพ์คัมภีร์และจัดอาหารเจแจกจ่ายให้ญาติมิตร ท่านจึงอายุยืน สุขภาพดี มีลูกหลานเป็นปราชญ์เมธี

บุคคลที่ประวัติศาสตร์จารึกไว้ในสารบบเมธีคนดีอีกท่านหนึ่งแห่งคุนซัน ก็คือปราชญ์ "จางปิงอัน" ทุกชั่วคนในวงศ์ตระกูล บูชาพระรัตนตรัย ศึกษาเข้าใจพุทธธรรมเป็นอย่างดี

วันคล้ายวันเกิดของท่าน ท่านจะแจกพระคัมภีร์ อรรถาพระคัมภีร์ สั่งห้ามลูกหลานบริวารมิให้ฆ่าแม้แต่ปลาตัวน้อย

ก่อนสมัยราชวงศ์ถัง คนอายุยืนถึงร้อยกว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีคำว่า "อวยพรวันเกิด"

ภายหลัง บุญวาสนาของคนถูกตัดทอนลง อายุสั้นลงจึงต้องรีบอวยพรวันเกิดกันตั้งแต่อายุน้อยๆ เป็นลางบอกเหตุให้รู้ว่า ภัยทำลายล้างใกล้เข้ามา อายุขัยของคนจะลดลงไปอีก

หากทุกคนเปลี่ยนจากการฉลองดื่มกินเที่ยวเล่นในวันเกิด มาเป็นสร้างบุญสร้างคุณความดี ชะตากรรมนี้ของมนุษย์ น่าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ ผลไม้แก่จัดบนต้นย่อมร่วงหล่นได้ทุกขณะ

ปัญญาชนย่อมรู้ว่าเมื่อเลยวัยกลางคน จะต้องปรับตน เตรียมใจอย่างไรกับชีวิต

เมื่อสายตาเริ่มพร่ามัว ผมขาว เข่าเสื่อม ฟันร่วง... อย่างนี้แล้วยังไม่เห็นเป็นอุทาหรณื ยังยินดีในชีวิตเลือดเนื้อเขา ยังหลงใหลได้ปลื้มเรื่อยไป ก็จะไม่มีข้อธรรมใดให้คุยกันอีก





วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

ถั่วเหลือง...เมล็ดสารพัดนึก (สามารถดูวิธีทำเต้าหู้แผ่น) โดย กบนอกกะลา

วิธีทำเต้าหู้แผ่น และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น ซอสปรุงรสจากถั่วเหลือง เต้าเจี้ยว และอื่นๆ 


     หากถามถึงพืชอาหารที่เรารับประทานทุกวัน..­.คง ไม่มีใครลังเลใจที่จะนึกถึง ข้าว แต่หากมีใครสักคนบอกว่า "นอกจากข้าวแล้ว เรายังกิน 'ถั่วเหลือง' กันทุกวันด้วย" หลายคนคงขมวดคิ้วคิดสงสัย นึกไม่ออกว่าวันที่ผ่านมาเรานั่งแกะกินเมล­็ดถั่วเหลืองกันตอนไหนบ้าง แต่ลองนึกดูดีดี ๆ อีกที น้ำเต้าหู้ ซีอิ้วขาว น้ำมันพืช เต้าเจี้ยว เต้าฮวย ซอสปรุงรส โปรตีนเกษตรและเต้าหู้นานาชนิด ล้วนแล้วแต่ทำจากถั่วเหลืองคราวนี้ถึงอ้าป­ากหวอร้องอ๋อ ออกมาพร้อมๆ กันใช่ไหม






โปรตีนเกษตร อร่อยได้ไม่เบียดเบียน

โปรตีนเกษตร 






วันพฤหัสบดีที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย - กินเจ เว้นกรรม


เรื่องเล็กๆคนเดียวทำ...เรื่องไม่ใหญ่  แต่ถ้าคนมากมายทำเรื่อง(ที่เห็นว่า)เล็ก...(ย่อม)เป็นเรื่องใหญ่

คนเดียวบริจาคเงิน 1 บาท...ไม่เป็นข่าว
แต่ถ้าบริจาคคนละ 1 บาทกันทั้งประเทศ...เป็นข่าวใหญ่

คนเดียวทิ้งขยะชิ้นเดียว...อาจคิดว่าไม่เดือดร้อน
แต่ถ้าคนทั้งหมู่บ้านทิ้งขยะคนละชิ้น...อยู่กันไม่ได้แน่

คนเดียวกินเนื้อชิ้นเดียว...คิดว่าไม่เป็นไร
แต่ถ้ากินคนละชิ้นทั้งประเทศ...เลือดสัตว์นองแผ่นดิน! คนป่วยล้นโรงพยาบาล!

หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย

     คนหนึ่งคน กินเจหนึ่งมื้อ บางท่านอาจคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่แท้จริงแล้วหากมีคนที่กินเจมื้อเดียวสักพันสักหมื่นคน ย่อมต้องมีผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ตามมา นั่นก็คือจะมีคนมากมายรอดตายจากโรคภัยไข้เจ็บ และจะมีสัตว์รอดชีวิตจากการถูกฆ่ามากมายนับไม่ถ้วน

     เหมือนอย่างเช่น คนๆเดียวปลูกต้นไม้ 1 ต้น อาจไม่มีใครเห็น แต่ถ้าคนทั้งประเทศปลูกกันคนละต้น ย่อมต้องปรากฏผลให้เห็นเป็นที่น่าอัศจรรย์




วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อานิสงส์ ๑๐ ประการ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


อานิสงส์ ๑๐ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


     เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย
                   
     องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เอง เมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมและระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน
 
     ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้

     ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต" คือห้ามการฆ่า เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง

     ขอให้เราจงมาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง "อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์" เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป

ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า...
      "สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า
     "บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่

อานิสงส์ ๑๐ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


  1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
  2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
  3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้
  4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
  5. มีอายุมั่นขวัญยืน
  6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
  7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
  8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
  9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
  10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติโลกสวรรค์


อธิบายอานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์


1.  เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

     บุคคลผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชกด่าทอกับใครทั้งสิ้น บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่แห่งหนใด ย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด
   
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้ายๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการ "ฆ่า" บุคคลเช่นนี้ไปถึงที่ไหน แม้ไม่ต้องถือมีดเข้ามาให้เห็นทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล
   
มีตำนานชาดกโบราณเล่าว่า สมัยหนึ่งในอดีต นับย้อนไปเป็นเวลา 500 ชาติ ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ ในเวลานั้นพระองค์ออกบวชเป็นดาบสมีนามว่า "ขันติ" พำนักอยู่ในป่าลึกเพื่อบำเพ็ญธรรม
   
มีอยู่วันหนึ่ง เหล่านางสนมของท้าวเทวทัตผู้เป็นราชาได้พลัดหลงขณะที่ตามเสด็จพระพาสป่าทั้งหมดจึงพากันดั้นด้นไปจนกระทั่งพบพระดาบสกำลังเจริญภาวนาอยู่อย่างสงบ มีลักษณะอันสง่างดงาม แต่ทว่าใกล้ๆกันนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดมาห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีทั้ง เสือ สิงห์โต ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แต่ช่างน่าประหลาดที่มันกลับดูเชื่องและอ่อนโยน มิได้ลุกขึ้นวิ่งไล่ทำร้ายแม้ กระต่าย กระรอก นก ซึ่งมาหากินอยู่ใกล้ๆ

บรรดานางสนมจึงได้พากันเข้าไปกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามพระดาบสว่า "ท่านปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ไม่กลัวสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายมาทำอันตรายหรอกหรือ?"
   
พระดาบสจึงตรัสตอบว่า...
   
     "เมื่อภายในจิตของเรา ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวธุลีของความคิดที่จะไปเบียดเบียนทำลายชีวิตผู้อื่น เช่นนี้แล้วย่อมจะไม่เป็นที่หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกต่อผู้ใด ฉะนั้นสัตว์ร้ายทั้งหลายย่อมไม่ทำอันตรายแก่เรา"
     พระธรรมโอวาทบทนี้ ยังคงปรากฏเป็นจริงแม้ในกาลปัจจุบัน ดังปรากฏตัวอย่างที่..ประเทศไต้หวัน มีเด็กหญิงเล็กๆหนึ่ง ทุกวันยามเช้าตรู่เธอจะนำเอาเมล็ดข้าวไปหว่านให้นกกระจอกกินเป็นประจำ นานวันเข้า เมื่อพบหน้าบรรดานกกระจอกเหล่านั้นก็จะพากันโผบินเข้ามาหยอกเย้ากระโดดโลดเต้นและเกาะอยู่ตามตัวของเธอ นี่ก็เป็นเพราะแม่หนู่น้อยเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาโดยแท้ การกระทำของเธอจึงเป็นการผูกบุญบารมีแห่งเมตตาไว้กับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และปราศจากสิ่งเคลือบแฝงใดๆ

2.  จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

จิตเมตตา คือ ความรู้สึกนึกคิดที่อยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้มีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

เหตุฉะนี้คนที่มีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลยแค่เพียงเห็นเขาต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรม ไม่เพียงแต่จักต้องไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นให้ดับดิ้นเท่านั้น แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทำโดยเด็ดขาด
   
เมื่อจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ค่อยๆถูกสะสมเพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตาขึ้นในใจ มหาเมตตานี้จะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันจะนำพาให้ผู้บำเพ็ญสามารถสำเร็จธรรมบรรลุสู่ขั้น "พระโพธิสัตว์"
   
     เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดินไม่เคยประสบความทุกข์ความลำบากอย่างใดเลยก็จริงแต่น้ำพระทัยของพระองค์ก็ยังทรงหยั่งทราบถึงจิตใจของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยความเห็นใจว่า "สัตว์ทั้งหลายย่อมปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าสรรพสัตว์นั้นๆจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน" (จากหนังสือพุทธประวัติพระกอบภาพ สำหรับเยาวชน โดยท่านพุทธทาสภิกขุ)


3.  สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้

     นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวในเรื่องปากท้องของตนทั้งกินดื่มเสพ อันเป็นเหตุให้คนเราต้อง เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นสาเหตุใหญ่ของการทำลายล้างซึ่งกันและกันอีกประการหนึ่ง ก็คือความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท จองเวรต่อกัน

     คนที่มีอารมณ์โกรธเกลียดเครียดแค้น มักจะก้าวร้าวชอบดุด่าและทำร้ายผู้อื่น นานวันเข้าก็กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตหยาบกระด้าง ใจหิน ใจทมิฬ ใจด้านชาจนกระทั่งแม้ความตายของผู้อื่นก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่น่าใส่ใจในที่สุดก็จะกลายเป็นพวกยักษ์มารอสูรที่มีรูปร่างภายนอกเป็นคนซึ่งสามารถเข่นฆ่าทำลายล้างได้แม้แต่พ่อแม่บังเกิดเกล้า พี่น้องตลอดจนห้ำหั่นวงศาคณาญาติและฆ่าลูกเต้าในไส้ของตน ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
   
     เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม จะต้องตัดเอาอารมณ์โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ออกไปให้หมดสิ้น อย่าให้หลงเหลือไม่เพียงแต่เราต้องรักทะนุถนอมชีวิตของตนเองเท่านั้นแต่เรายังจะต้องรักและทนุถนอมชีวิตของผู้อื่นอีกด้วย มิเช่นนั้นแล้วก็จะได้รับวิบากกรรม ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เลื้อยคลาน งูและสัตว์ประเภทดุร้ายทั้งหลาย
   
     การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้พุทธบริษัทถือศีล ข้อปาณาติบาตก็เพื่อให้หยุดการจองเวรโดยยุติการเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้อื่นทั้งนี้เนื่องด้วยสาเหตุที่ว่า หากบุคคลผู้ใด มีอารมณ์เครียดแค้นพยาบาทในชาตินี้ มันจะฝังแน่นอยู่ในกมลสันดานจนติดตามไปถึงภพหน้าชาติหน้า ฉะนั้นถ้าหากชาตินี้ เราเข่นฆ่า กินเลือดกินเนื้อเขา
   
     แน่นอน...ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติสืบต่อไปภายหน้า ก็จะถูกเจ้ากรรมนายเวรในอดีต ติดตามรังควานทวงหนี้ชีวิตทุกชาติๆไปเช่นนี้แล้ว ... บุคคลผู้นั้นจะสามารถปฏิบัติธรรมให้บรรลุถึงความมหลุดพ้นไปได้อย่างไร?

4.  ปราศจากโรคภัยร้ายมาเบียดเบียน

      ความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเราซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศหรือจากเรื่องอาหารการกินที่ผิดธรรมชาติความเจ็บป่วยจากสาเหตุทั้งสองนั้น อาจเยียวยารักษาให้หายได้ด้วยยา แต่โบราณกล่าวว่า "ถึงยาวิเศษแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้"
     
     โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต ที่สงผลให้คนเหล่านั้นต้องมาตายพร้อมมกันในชาติปัจจุบัน ได้แก่
  • ตายด้วยโรคระบาดในคราวเดียวกันมากๆ เช่น กาฬโรค โรคเอดส์ ฯลฯ
  • ประสบอุบัติเหตุตายหมู่พร้อมกัน
  • ถูกฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธ์ในสงคราม
     เหล่านี้มีสาเหตุสำคัญ ก็คือ คนเหล่านั้นต่างเคยร่วมกันฆ่าสัตว์ตัดชีวิตร่วมเสพเลือดเนื้อผู้อื่น ร่วมส่งเสริมผู้อื่นให้ฆ่าให้กินให้เสพ ทั้งหมดเรียกว่า "กรรมหมู่"
     
     จนกระทั่งมาเกิดในชาตินี้ ผลกรรมที่เคยกินเลือดกินเนื้อเขาในอดีต ถึงเวลาสุกงอม ก็ต้องชดใช้คืน หนี้เลือดชดใช้ด้วยเลือด หนี้ชีวิตใช้ด้วยชีวิต บางรายแม้ไม่ถึงตายก็ต้องพิการหรือไม่ก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยโรคประจำตัวไปหาหมอให้รักษาเยียวยาอย่างไรก็ไม่หายขาดต้องอยู่ทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต เรามักจะได้ยินหลายคนพูดว่า "เฮ้อ...เราช่างมีกรรมมากเสียจริงๆ ถึงต้องเจ็บป่วยเป็นประจำ"
     
คำพูดเช่นนี้จริงแท้ที่สุด เวรกรรมที่เป็นเหตุชักนำให้ผู้คนต้องประสบโรคภัยกลุ้มรุมทำร้าย ก็เนื่องมาจากในอดีตพวกเขาต่างเคยเบียดเบียน เข่นฆ่า ทำลายชีวิตผู้อื่นมากินมาเสพนั่นเอง
  
โรคภัยไข้เจ็บ ได้พบเชื้อโรคต่างๆ มีมากที่สุดในเนื้อสัตว์ เช่น...
  • โรคมะเร็งต่างๆ, โรคอัมพาต, โรคอหิวาต์, วัณโรค...
  • โรคดีซ่าน, โรคตับ, โรคผิวหนัง...
  • โรคบวมตามต่อมต่างๆ, โรคปวดข้อกระดูก...
  • โรคปากและเท้าเปื่อย...
  • โรคจากเชื้อไวรัส, พยาธิตัวตืด...
  •  พยาธิเส้นด้าย, พยาธิปากขอ...
โรคที่ร้ายที่สุดที่ทำให้มนุษย์ตาย อย่างรวดเร็วนั้นคือ โรคไขมันหลอดเลือด และโรคมะเร็ง ต่างๆ  โรคเหล่านี้ ล้วนมาจากเชื้อโรคในเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น...

5.  มีอายุมั่นขวัญยืน


     ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ทว่าความมีอายุยืนนานนั้น มิใช่เพียงแต่คิดอยากจะได้ .. ก็ได้ เพราะถ้าหากในอดีต ท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภคเนื้อสัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุขและอายุยืนยาวนั้น ... ย่อมเป็นไปไม่ได้!
     
     ขอยกตัวอย่างให้เห็น...ที่จังหวัดเกาสง ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไต้หวัน มีแม่ค้าขายเนื้อเป็ด เนื้อไก่ คนหนึ่งเลี้ยงชีพด้วยการเชือดคอเป็ด คอไก่ ขายทุกวัน ต่อมาก็ล้มป่วยเป็นมะเร็งที่คอ อายุไม่ทันถึง 30 ก็ตาย!
     
     อีกรายหนึ่ง ...เป็นพ่อค้าขายเนื้อ จนมีฐานะร่ำรวยต่อมาได้ซื้อบ้านตึก 3 ชั้น หวังจะได้อยู่อย่างเป็นสุข แต่ก็กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน จนในที่สุดเขาต้องพบจุดจบด้วยการผูกคอตายในบ้านหลังนั้น
     
     อีกตัวอย่าง..ที่จังหวัด ถังซาน ประเทศไต้หวัน สามีภรรยาคู่หนึ่งค้าขาย เป็ด ไก่ ลูกชายของเขาพออายุได้ 12 ขวบก็ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดถึง 3 ครั้งอยู่ต่อมาไม่นานก็ป่วยเป็นโรคไตพิการ ไม่สามารถรักษาได้สุดท้ายก็ตาย!

     ส่วนเรื่องราวของบุคคลผู้ที่มีจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือชีวิตสัตว์จนอานิสงส์ผลบุญทำให้มีอายุยืนยาวก็มีอยู่มากมายจะขอตัวอย่างสักสองตัวอย่าง
      
     มีสามเณรรูปหนึ่งอายุ 8 ขวบ เพิ่งจะบวชได้ไม่กี่เดือนวันหนึ่งท่านเจ้าอาวาสผู้เป็นอาจารย์ได้เข้าญาณสมาธิ จึงล่วงรู้ว่าอายุขัยของสามเณรน้อยมีเหลืออยู่เพียง 7 วันเท่านั้น
     
     ด้วยความเวทนาสงสารลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ท่านจึงคิดว่าหากสามเณรจะต้องตาย อย่างน้อยก็ให้ได้ไปตายที่บ้านเกิดจะดีกว่า พิจารณาเช่นนี้แล้วพระอาจารย์จึงเรียกเณรน้อยลูกศิษย์เข้ามาสั่งเสียว่า
      
     "เจ้าจากบ้านมาก็หลายเดือนแล้ว โยมพ่อโยมแม่คงคิดถึงมาก อาจารย์อนุญาตให้เจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านได้ 10 วันแล้ว...ค่อยกลับมา"
     
     สามเณรน้อยจึงกราบนมัสการลา แล้วรีบเดินทางกลับบ้านเกิด ระหว่างทางเจอกับพายุลมแรง ฝนตกหนักจนทำให้เณรน้อยต้องหยุดพัก
     
     ขณะหลบฝน เณรน้อยได้มองเห็นรังมดรังหนึ่งกำลังถูกสายน้ำไหลเข้าท่วม บรรดาฝูงมดต่างวิ่งพล่านหาทางเอาชีวิตรอด สามเณรน้อยเห็นเช่นนั้นก็เกิดจิตเมตตารู้สึกสงสารจึงหากิ่งไม้แห้งที่อยู่ใกล้มาพยายามขูดพื้นดินรอบรังมดให้เป็นร่องถ่ายเทให้น้ำฝนที่กำลังจะท่วมไหลไปทางอื่น การกระทำดังกล่าวได้ช่วยให้มดทั้งหมดรอดตายจากภัยพิบัติ
     
     เมื่อพายุสงบฝนหยุดตก สามเณน้อยก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้าน และพักอยู่กับโยมบิดาโยมมารดา เวลาล่วงไปจนใกล้จะครบ 10 วัน เณรน้อยจึงเดินทางกลับวัด
     
     ครั้นท่านเจ้าอาวาสผู้เป็นอาจารย์ ได้พบหน้าเณรน้อยลูกศิษย์ก็ให้รู้สึกดีใจ ระคนกับประหลาดใจยิ่งนัก ในเย็นวันนั้นท่านจึงเข้าญาณตรวจดู จึงได้ทราบเหตุการณ์ที่ลูกศิษย์สร้างกุศลใหญ่ โดยการช่วยเหลือชีวิตมดทั้งรังให้รอดตาย
     
     ครั้นเมื่อสามเณรน้อยเติบใหญ่มีอายุครบบวช จึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุท่านอยู่ศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญจิตภาวนาจนสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และออกเผยแผ่พระธรรมฉุดช่วยเวไนยสัตว์ตราบจนกระทั่งละสังขารจากโลกไป รวมสิริอายุของท่านได้ 80 ปี
     
     อีกตัวอย่าง ที่จังหวัดราชบุรี ตรงนั้นก็มีคลองดำเนินสะดวก ผู้บำเพ็ญของเราเล่าให้ฟัง มีผู้ชายคนหนึ่งเขาอยากจะกินตะพาบน้ำ คนต่างจังหวัด มักจะเอาไปผัดเผ็ด เขาก็เลยจับตะพาบน้ำมาไว้ที่บ้านแล้วก็เอากะละมังครอบไว้เขาก็เตรียมออกไปซื้อเครื่องแกงเพื่อเอามาผัดเผ็ด เขาก็มีลูกสาวน่ารักมาก กำลังเดินเตอะแตะเลย ประมาณ 3-4 ขวบ ลูกสาวเห็นว่ากะละมังมันเขยื้อนได้ก็เลยไปเปิดดู เห็นว่าเป็นตะพาบน้ำ เด็กเขาก็สนุก ขี่หลังตะพาบน้ำเล่น ผู้ชายคนนี้กลับมาบ้านก็แปลกใจว่าทำไมบ้านเงียบลูกสาวตัวเองก็ไม่อยู่ ก็นึกว่าลูกสาวไปเล่นบ้านเพื่อน ด้วยความที่อยากกินตะพาบน้ำมาก จึงมัวแต่หาว่าตะพาบน้ำหายไปไหน ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ก็ต้องลงน้ำ เขาก็ตามไปที่คลองเห็นพายน้ำกำลังผุดๆอยู่ แสดงว่ามันลงน้ำไปแน่ๆ เขาคว้าฉมวกได้ก็แทงลงไปในน้ำ แทงเสร็จเขาก็งัดฉมวกเพราะกลัวว่าตะพาบน้ำจะหลุดจากฉมวก พอเขายกฉมวกขึ้นมาเท่านั้นเขาก็ร้องไม่เป็นเสียง เพราะที่ยกขึ้นมาไม่ใช่ตะพาบน้ำแต่เป็นสูกสาวของเขา
     
     อีกตัวอย่าง มีอาเสี่ยคนหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เขามีอาชีพขายหมูหัน เขาไปซื้อลูกหมูไปผ่าแล้วก็เอาไม้เสียบจากก้นจนทะลุปาก เขาทำกิจการหมูหันจนร่ำรวย มีรถเบนซ์ขับ ภรรยาเขาก็แต่งตัวดี มีทองเพชรเต็มตัว เขามีลูกชายหนึ่งคน วันหนึ่งเขาก็พาครอบครัวไปเที่ยว เขาเป็นคนขับ ภรรยานั่งข้างๆ ลูกนั่งอยู่เบาะหลังคนขับ ขับรถไปปรากฎว่า รถคันหน้าเบรกกะทันหัน รถของเขาก็เบรกกะทันหันรถคันหนังก็เบรกตาม แต่เผอิญรถคันหลังเป็นรถบรรทุกเหล็กเส้น บังเอิญมีเหล็กเส้นเส้นหนึ่งทะลุผ่านกระจกด้านหลัง ขณะที่เขาเบรกลูกชายของเขาก็คว่ำหน้าก้นชี้ขึ้น เหล็กเส้นก็เสียบก้นจนทะลุออกปากตายคาที่ เหมือนกับที่เขาทำหมูหันไม่มีผิด
     
     จากเรื่องราวที่หยิบยกมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของบรรดาผู้ซึ่งต้องประสบเคราะห์กรรม อันสืบเนื่องมาจากผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในหลักธรรมคัมภีร์ว่าด้วยเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ได้กล่าวถึงผู้ที่ชอบกินเลือดกินเนื้อและเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้อื่นว่า บุคคลเหล่านี้เมื่อตายแล้ว อันดับแรกดวงวิญญาณจะต้องไปรับโทษในนรกอย่างแสนทุกข์ทรมานต่อมาต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องถูกฆ่าตาย เป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะชดใช้หนี้ชีวิตที่ฆ่าผู้อื่นให้หมด จากนั้นจึงจะได้มาเกิดเป็นคน แต่ก็จะมีอายุสั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบาปกรรมมากน้อยตามที่ตัวได้สร้างไว้
     
นี่คือ...ผลกรรมของการฆ่า!

     เราทุกคนก็ทราบกันดีแล้วว่า ถ้าหากร่างกายมีแต่โรคภัยเบียดเบียน เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำสุขภาพอ่อนแอทรุดโทรม บุคคลผู้นั้นจะคิดอ่านทำการสิ่งใดก็จะพบแต่อุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิดจะฝึกฝนปฏิบัติธรรมก็จะยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก บางคนคิดจะนั่งสมาธิฟังเทศน์ฟังธรรมอ่านไปได้เพียงครึ่งหน้าก็ง่วงเหงาหาวนอนเสียแล้ว
     
     ตรงกันข้าม...ถ้าหากร่างกายของเราแข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนรังควานเราคิดกระทำสิ่งใด ก็ย่อมจะสำเร็จสมประสงค์โดยง่าย ไม่ว่าจะศึกษาหลักธรรมคัมภีร์ ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญสมาธิภาวนา ก็จะราบรื่นรุดหน้า บันดาลให้เกิดปัญญาญาณ รู้ผิดชอบชั่วดีมีสติสำนึกระลึกได้ตลอดเวลา
     
     ฉะนั้นจึงใคร่ขอฝากเตือนท่านทั้งหลายว่า ถ้าอยากจะเป็นผู้ที่มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ก็จงงดเว้นบริโภคเนื้อสัตว์และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ
วัชรเทพ

6.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

     วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดีมีใจศรัทธาศึกษาปฏิบัติธรรมรักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้นๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์ มาร อสูรร้ายมารังควาน แต่หากเมื่อใดก็ตามที่บุคคลนั้นมีจิตใจรวนเรไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพผู้ปกปักษ์รักษาก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะถือเป็นโอกาสเข้าจู่โจมทำอันตรายทันที
     
     ฉะนั้นขอให้ผู้ที่ตั้งใจจะปฏิบัติธรรม พึงมีความรอบคอบระมัดระวัง และหมั่นคอยสำรวจตรวจตราจิตของตนอยู่เสมอๆ ในปัจจุบันแม้ความเจริญในทางวัตถุจะรุดหน้าไปมาก แต่ยังมีสาธุชนจำนวนไม่น้อยหันมามุ่งมั่นฝึกฝนปฏิบัติธรรมเริ่มถือศีลกินเจนับเป็นนิมิตรหมายแห่งความเป็นผู้มีเมตตาจิต ถึงแม้ว่าด้วยตาเนื้อของปุถุชนคนธรรมดาจะมองไม่เห็นบรรดา เทพ พรหมทั้งหลายที่คอยเฝ้าพิทักษ์คุ้มครองพวกเขาอยู่ แต่เมื่อถึงคราววิกฤติตกอยู่ในที่คับขัน ต้องประจัญหน้ากับเภพภัยใหญ่หลวงสำหรับผู้ที่ประกอบแต่คุณงามความดีสร้างบุญสร้างกุศล ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมไม่เสื่อมคลาย เหล่าเทพ พรหม ทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิกผันเหตุการณ์ร้ายให้กลับกลายเป็นดี สามารถแคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด



7.  ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิงที่ดีงามเป็นสิริมงคล

          คนทั่วๆไปหากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุ่นเมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใดพอล้มตัวลงนอนก็ไม่สามารถจะหลับตาลงได้ หรือก็เพียงแค่หลับๆตื่นๆ และท้ายที่สุดเคล้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืนสาเหตุทั้งหมดมีมูลเหตุเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวันคนที่ทุกวันๆ เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติตนมิชอบเมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่สิ่งเลวร้าย น่าเกลียดน่ากลัว

     ยกตัวอย่าง...ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีนักพรตรูปหนึ่งนามว่า "กวง ฮั่ว ฝ่า ซือ" ในสมัยที่ท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มได้รับราชการเป็นทหารมีตำแหน่ง อาหารที่รับประทานทุกๆ มือจะต้องเพรียบพร้อมไปด้วย เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ มิเคยขาด บางคราวในแต่ละมื้อท่านกินเนื้อถึงมื้อละ 2 ชั่งหรือเกือบ 2 กิโล ฉะนั้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เป็ด ไก่ หมู วัว จำนวนนับพันตัวต้องตายไปเป็นอาหารอันโอชะ      ตราบจนกระทั่ง ถึงปีหมินกั๋วที่ 42 ตรงกับปี พ.ศ. 2495 ท่านได้หันมาศึกษาหลักธรรม พอรู้ถึงเหตุต้นผลกรรม จึงเริ่มฝึกหัดกินเจถือศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ เพื่อลบล้างเวรกรรมที่เคยเบียดเบียนชีวิตสัตว์มามากมายให้เบาบางลง เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงเวลาครบเกษียณอายุราชการ      

     หลังจากปลดเกษียณแล้ว ในปีหมินกั๋วที่ 63 ตรงกับปี พ.ศ. 2516 สองวันก่อนหน้าที่จะถึงวันสารทขนมจ่าง วันที่ 5 เดือน 5 เทศกาลตวนอู่ ท่านได้เข้าไปไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนาตามปกติ สักครู่ใหญ่

     ก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังระงมไปทั่วบริเวณเสียงนั้นไม่ต่างไปจากเสียงร้องของเป็ดไก่วัวควายแต่อย่างใด เมื่อนักพรตผู้ชราหันหลังไปดูก็ปรากฏภาพ เป็ด ไก่ หมู วัว นับพันๆ ตัว พากันแยกเป็น 3 ทาง มีความยาวถึง 2 ลี้ พวกมันวิ่งไล่ติดตามท่านอย่างไม่ยอมลดละ
     
      ท่านนักพรตเหนื่อยแทบจะขาดใจและสะดุ้งตื่นจากภวังค์ด้วยความตกใจจึงลุกพรวดพราดขึ้น เพราะไม่ระวังท่านจึงหกล้มขมำเป็นเหตุให้ขาซ้ายหักพับไปได้รับความเจ็บปวดอย่างยิ่งสุดท้ายก็กลายเป็นคนขาพิการ แต่เนื่องด้วยท่านเป็นผู้เข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างถ่องแท้ ท่านจึงก้มหน้ารับผลกรรมในสิ่งที่ท่านได้กระทำมา ด้วยจิตใจที่มั่นคง
    
     เทพเทวดา อีกเรื่องหนึ่ง ...ที่จังหวัด ผิงตง บนเกาะไต้หวัน เจ้าสำนักสถานธรรมแห่งหนึ่ง แซ่ "หวง" นางได้เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าผู้บรรยายฟังว่า
     
     ราว 40-50 ปีที่แล้ว เป็นสมัยที่เกาะไต้หวันกำลังอยู่ในระยะฟื้นฟูใหม่ๆ ยุคนั้นความเป็นอยู่ทุกอย่างลำบากมากขาดแคลนข้าวของอุปโภคบริโภค ตัวของนางเองทุกๆเช้าจะต้องออกไปขุดหอยทากตามพื้นดินมาทำอาหารกิน เป็นเช่นนี้อยู่นาน...จนกระทั่งต่อมานางได้รับวิถีอนุตตรธรรมและตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมเรื่อยมา
     
     นางเล่าว่า ก่อนหน้าที่จะปฏิญาณกินเจตลอดชีวิตนางมักจะฝันร้ายอยู่เสมอ และเรื่องที่ฝันเห็นเป็นประจำก็คือ มีกองทหารกองใหญ่ทุกคนมือถือหอกถือดาบวิ่งไล่ตามมุ่งจะเอาชีวิตนางให้ได้ และน่าแปลกเหลือเกินที่เสื้อเกาะของนายทหารเหล่านั้น มีสีสรรและลวดลายเหมือนเปลือกหอยทากไม่มีผิด นางฝันร้ายเช่นนี้แทบทุกคืนจนกระทั่งต่อมา นางได้เข้าชั้นศึกษาธรรมและทำพิธีขอขมากรรมพร้อมทั้งตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฝันร้ายดังกล่าวก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางอีกเลย
     
ฉะนั้น ในหลักธรรมคำสอนจึงบ่งบอกเอาไว้ว่า
      
"ผู้ที่ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต งดบริโภคเลือดเนื้อของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดฝันร้าย จะหลับและตื่นอย่างเป็นสุข"
     
     บางครั้งผู้ที่ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดจนดอกบัวทิพย์ในแดนสุขาวดี ทั้งหมดนี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี เป็นศิริมงคลแก่ตนเอง
     
     ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ผู้ที่มีจิตใจดีงาม ไม่เคยแม้แต่จะคิดร้ายต่อผู้อื่น เมื่อถึงเวลานอนก็จะหลับสนิทโดยง่าย ยามตื่นก็ไม่งัวเงีย อารมณ์จะปลอดโปร่งแจ่มใส ชีวิตมีอิสระ จิตใจย่อมเบิกบานเป็นสุขไปตลอด

8.  ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน

     คัมภีร์แห่งสัจจธรรม ได้กล่าวว่า "สรรพสัตว์ทั้งหลายกับข้านั้นเป็น "หนึ่ง" เดียวกัน ไม่แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงทำให้ยึดเอากายสังขารรูปลักษณ์ภายนอกมาทำให้เกิดเป็นความแตกต่าง"
     
     ผู้มีญาณปัญญาเห็นแจ้งในธรรม ย่อมตระหนักรู้ดีว่าท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายและแม้แต่จะขัดแจงไม่ลงรอยกันในความคิดเห็นของหมู่ชน ผู้ปฏิบัติธรรมที่แทั้จริงจะต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นคิดอาฆาตผู้อื่นโดยสิ้นเชิง
     
     ปมแห่งเวรกรรมนั้นต้องรีบแก้ไขคลายออก จิตต้องไม่ผูกความแค้น ใจต้องไม่อาฆาต กรรมเวรทั้งหลายควรให้สลายไปด้วยการอโหสิกรรม อย่าผูกไว้ ควรให้อภัยซึ่งกันและกัน
    
     ฉะนั้นจากเหตุผลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องไม่เพียงแต่ไม่คิดโกรธเกลียด ไม่เข่นฆ่าไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นไม่ว่าคนหรือสัตว์ แต่ยังจะต้องมีจิตเมตตากรุณา คิดสงสารต่อผู้ที่หลงผิดประพฤติมิชอบ พร้อมทั้งเพียรพยายามหาวิธีฉุดช่วยเขาให้กลับเข้าสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม หากปฏิบัติได้เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่มีเวรกรรมหนี้แค้นต่อกัน กลับจะเป็นการผูกบุญสัมพันธ์อันดีต่อกันอีกด้วย ทั้งนี้เพราะการจะสำเร็จธรรมถึงขั้น "พุทธะ" ได้นั้นจักต้องผูกบุญสัมพันธ์อันดีกับสรรพสัตว์เป็นฐานบารมีก่อน
     
     ดังนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิม ผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตามหาการุณย์ต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จึงทรงตรัสเทศนาสั่งสอนเน้นหนักให้สาธุชนที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ต้องเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นการเจริญรอยตามปฏิปทาที่พระองค์ท่านและบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้บำเพ็ญไว้เป็นแบบอย่างให้พวกเรายึดถือปฏิบัติมาจวบจนทุกวันนี้
ใจสงบ

9.  สามารถดำรงอยู่ในกระแสเห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

     ตามกฎแห่งกรรม ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบเสพเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องล่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง 3 ได้แก่
      1.นรกภูมิ 10 ขุมซึ่งแต่ละขุมแต่ละแดนเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณอันแสนสาหัสต่างๆนานา
      2.เปรตภูมิ เป็นแดนที่เหล่าวิญญาณบาปต้องได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหยตลอดเวลา เพราะเมื่อยามใดที่อาหารเข้าปาก ก็จะลุกไหม้กลายเป็นไฟ ไม่สามารถกลืนลงคอได้เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่จะหมดสิ้นบาปกรรมที่ทำไว้
      3.เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณบาปชดใช้หนี้เวรบาปกรรม พ้นจากขุมนรกและภพภูมิเปรตแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบตามจำนวนที่ตนได้เคยเบียดเบียน ทำลายชีวิตผู้อื่น




10.  ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่สุคติโลกสวรรค์

     ในมหายานสูตรมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้ทรงเป็นเลิศในทางฤทธิ์แห่งองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะกำลังเจริญสมาธิภาวะนาอยู่ ณ ริมฝั่งมหาคงคานที ได้ทรงพบเห็นเหล่าภูติเปรตมากมาย
     
     ขณะนั้นผีเปรตตนหนึ่ง ได้เข้ามาหมอบกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามท่านว่า "เหตุใดข้าพระองค์ จึงต้องถูกเหล่าสุนัขปีศาจมารุมกัดกินเนื้อ ต่อเมื่อเนื้อถูกแทะกินจนหมดแล้วแค่ลมพัดโชยมากระทบเนื้อกายของข้าพระองค์ก็กลับงอกสมบูรณ์เป็นปกติดังเดิม และแล้วก็จะถูกเหล่าสุนัขปีศาจ กรู่กันเข้ามากัดกินกันต่อไปอีกเป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน
     
     ข้าพระองค์ได้ทำกรรมอันใดไว้ จึงเป็นเหตุให้ต้องมารับโทษอันแสนจะทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้...พระเจ้าข้า..."
     
     พระโมคคัลลานะพุทธสาวกจึงตรัสชี้แจงแก่เปรตตนนั้นว่า "วิบากกรรมที่เจ้าได้รับอยู่ในขณะนี้ ก็เนื่องด้วยในอดีตเมื่อครั้งที่เจ้าเป็นมนุษย์ ได้ถูกมิจฉาทิฐิความหลงผิดความไม่รู้จริงเข้าครอบงำจึงชอบเข่นฆ่าชีวิตสัตว์แล้วนำไปสังเวยฟ้าดิน ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การกระทำเช่นนี้นับเป็นบาปอย่างมหันต์ อกุศลกรรมดังกล่าวเป็นเหตุทำให้เจ้าต้องมารับโทษทัณฑ์อันแสนสาหัส ดังที่เป็นอยู่นี้"

     เราลองมาพิจารณาดูเถิดว่า การที่ต้องไปรับวิบากกรรมเช่นนั้น มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน แต่ถ้าหากยามมีชีวิตเรารู้จักหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตาย ด้วยการกินเจรักษาศีลไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เราก็ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพ ไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวในชาติหน้า
     
     ฉะนั้นสาธุชนผู้ที่งดเว้นเนื้อสัตว์ ตั้งใจถือศีลกินเจเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง จิตญาณจะละจากสังขารอาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดีที่สร้างสมไว้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ย่อมเป็นเหตุปัจจัยดลบันดาลให้เหล่าทวยเทพเทวา พากันมาแซ่ซ้องรอรับขึ้นสู่แดนบรมสุขเบื้องบน
     
     สมดังพระพุทธวจนะ ที่ว่า..."ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปลูกพืชพรรณใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลอย่างนั้น"
นี่คือ หลักสัจจธรรมที่เที่ยงแท้แน่นอน

สรุป

     การจะศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จลุล่วงผู้บำเพ็ญธรรมจักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนื้อชีวิตสัตว์โดยสิ้นเชิงพร้อมกับตั้งจิตมุ่งมั่นอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก มิเช่นนั้นหนทางการบำเพ็ญเพียรสู่ความหลุดพ้นของเราจะต้องถูกขัดขวางจากบรรดาเจ้ากรรมนายเวรจนไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นไปได้
     
     เป้าหมายของการบำเพ็ญธรรม คือ ได้บรรลุ "อนุตตรสัมโพธิญาณ" อันเป็นการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ต้องเริ่มต้นจากการสะสมคุณงามความดี ประกอบแต่กุศลกรรม
     
     สุดท้ายนี้ขอเชิญบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมจงเริ่มใช้วิจารณญาณแยกแยะเหตุและผลที่ได้เรียนรู้มาแล้วจนมโนธรรมสำนึกที่แท้จริงปรากฎชัดเจนออกมาจะได้ดำเนินชีวิตไปบนหนทางที่ถูกต้องดีงามเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป





วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แนะนำ...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ - แล้วคุณจะบอกว่า...รู้อย่างนี้ทำอาหารเจทานเองไปนานแล้ว



แนะนำ...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ  - แล้วคุณจะบอกว่า...รู้อย่างนี้ทำอาหารเจทานเองไปนานแล้ว 


     ลองๆคลิ๊กเข้าไปดูบล็อกใหม่(หรือคลิ๊กที่รูปภาพประกอบด้านล่าง) ที่พยายามจะรวบรวมสารพันเมนูอาหารเจ พร้อมวิธีปรุงอาหารเจง่ายๆ สามารถฝึกทำทานเองที่บ้านไม่ยาก แถมอร่อยอีกต่างหาก

ผัดกะเพราเป็ดเจ




วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์ - เมตตาธรรมค้ำจุนโลก พึงละเว้นเลือดเนื้อแลชีวิตสรรพสัตว์เทอญ



อันตรายจากการกินเนื้อสัตว์


     จากการสำรวจอายุเฉลี่ยและสุขถาพอนามัยของประชากรในแต่ละส่วยของโลกพบว่า ในกลุ่มประชากรที่กินเนื้อเป็นอาหารหลัก ไม่พบผักเลยหรือกินแต่น้อย จะมีอายุสั้นมากแก่เร็วและเต็มไปด้วยโรคภัยร้ายแรงคุกคามอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับกลุ่มประชากรที่กินแต่อาหารพืชผักเป็นหลัก พบว่ามีอายุยืนร่างกายแข็งแรง และปราศจากโรคภัยร้ายแรงใดๆ ฉะนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า " การกินเนื้อสัตว์เป็นเหตุบั่นทอนอายุให้สั้นลง ทำลายสุขภาพให้เสื่อมโทรม และก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆขึ้น " จากผลการวิเคราะห์เนื้อสัตว์ของสถาบันโภชนาการพบอันตรายที่สำคัญยิ่ง 5 ประการดังนี้คือ

1. เลือดและเนื้อของสัตว์เป็นพิษ 

     ก่อนที่สัตว์จะถูกฆ่าโดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ๆ ซึ่งมีจิตสำนึกค่อนข้างสูงเช่น วัว ควาย หมู สัตว์เหล่านี้จะเกิดความกลัวสุดขีดและพยายามต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต ในช่วงเวลานั้นชีวะเคมีในตัวสัตว์จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายเกิดขึ้น ฮอร์โมนที่เป็นพิษจำนวนมากจะถูกขับออกมาโดยเฉพาะ สารแอดรีนาลิน พิษของฮอร์โมนนี้จะแพร่กระจายแทรกซึมเข้าไปในเส้นเลือดและเนื้อทุกส่วน แม้ว่าสัตว์นั้นจะตายไปแล้ว แต่ว่าพิษนั้นยังคงอยู่ต่อไป สารแอดรีนาลินนี้สามารถพบได้ในร่างกายของคนเราด้วยเช่นกัน มันจะหลั่งออกมามากในขณะที่บุคคลผู้นั้นเกิดอารมณ์โกรธเกลียด เครียดแค้น หรือตกใจกลัวสุดขีด    
เพราะฉะนั้นคนที่อารมณ์รุนแรงและตึงเครียด โมโหร้าย เจ้าอารมณ์ มักมีสุขภาพร่างกายไม่ดี ใบหน้าหมองคล้ำ ป่วยเป็นโรคต่างๆเสมอ แก่เกินวัยและตายเร็ว ตรงกันข้ามกับคนที่มีจิตใจดี อารมณ์ดี จะมีใบหน้าสดใส ร่าเริง แก่ช้า อายุยืน และสุขภาพอนามัยดี

     สถาบันโภชนาการประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า "เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆมากมาย" พบว่าหลังจากที่สัตว์ตายไป 2 - 3 ชั่วโมง เนื้อสัตว์จะเป็นกรดมากขึ้นทุกขณะ กรดนี้คือน้ำเนื้อซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาทรับรสอยู่ที่บนลิ้น ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเนื้อมีรสชาดอร่อย ฉะนั้นผู้ที่ปรุงอาหารเนื้อจึงไม่นิยมนำเนื้อไปล้างน้ำ เพราะจะทำให้มีรสจืด แต่กรดในน้ำเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นจิตใจ และอารมณ์ ให้มีความรุนแรง ฉะนั้นชนชาติที่ นิยมกินแต่เนื้อสัตว์จะมีความก้าวร้าวรุนแรง จ้องประหัตประหารล้างผลาญ คิดสร้างสรรอาวุธขึ้นมาทำลายล้างซึ่งกันและกัน นับวันยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

     ผู้วิจัยพบว่าในเนื้อสัน 1 กิโลกรัมจะมีกรดยูริคอยู่ถึง 30 กรัม กรดยูริคในเนื้อมีสารยูเรียซึ่งเข้าไปสะสมในร่างกาย สารนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว ยากแก่การขับถ่ายและไม่สามารถสลายตัวได้ง่าย ส่วนที่ตกค้างก็ถูกส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย โดยจับเป็นผลึกอยู่ตามกล้ามเนื้อไขข้อและกระดูกทำให้เป็นโรคไต โรคเก๊า โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ
     แพทย์พบว่าไตของคนกินเนื้อ ต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรกและสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น ไตที่ต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลานานๆย่อมไม่อาจจะทนไหว อาการเจ็บป่วยจึงเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น โรคไตพิการ ไตวาย นิ่วในไต โรคเก๊า และโรคไขข้อ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากการจับเป็นผลึกของกรดยูริค ภายในส่วนต่างๆของร่างกายนั่นเอง
     ทุกวันนี้คนเราตกอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์และอาหารดัดแปลงต่างๆ เมื่อร่างกายสะสมพิษเข้าไว้มากๆในที่สุดก็ต้องเจ็บป่วย ครั้นแล้วก็กลับพากันกินยาซึ่งสกัดจากสารเคมีเข้าไปรักษาความเจ็บป่วยนั้น บางครั้งยาที่คิดว่าจะช่วยรักษาความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น กลับให้ผลแทรกซ้อนข้างเคียง ทำให้อาการของโรคย่ำแย่ลงไปอีก บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมาปฎิบัติตนกันใหม่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

2. สารเคมีในเนื้อสัตว์ 

     นับตั้งแต่สัตว์ถูกฆ่า ตัดชำแหละเป็นชิ้นๆ แยกประเภทนำบรรจุเข้าตู้แช่แล้วขนส่งไปยังตลาดจำหน่าย เนื้อสัตว์ต้องตกค้างอยู่เป็นเวลาหลายวัน เพื่อรอผู้บริโภคมาซื้อไป กว่าจะถูกปรุงเสร็จเป็นอาหารก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามธรรมดาเนื้อสัตว์จะคงความสดอยู่ได้ไม่นานก็จะแปรสภาพ สีจะกลายเป็นสีเทาอมเขียว ดังนั้นในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์จึงมีการใช้สารเคมีช่วยยืดอายุการเน่าเสีย และเจือสารรักษาสีให้เนื้อมีสีแดงดูสดนาน สารเคมีเหล่านี้ทางการแพทย์พบว่าเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นได้ ปัจจุบัน ในฟาร์มเลี้ยงสัตว์ใช้สารเคมีและฮอร์โมนผสมลงในอาหารสัตว์เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ทำให้สัตว์อ้วนท้วนโตเร็ว เนื้อสัตว์ที่ได้จะมีสีสรรน่าซื้อแต่การกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษต่างๆมากมาย เมื่อบริโภคเนื้อนั้นเข้าไปเป็นประจำ มีการฉีดเซรุ่มและยาปฎิชีวนะต่างๆ เพื่อป้องกันโรคระบาดสัตว์ ผู้ที่รับประทานเนื้อเป็นประจำร่างกายมักมีการต้านยา เมื่อเจ็บป่วยยาที่กินจึงไม่ค่อยได้ผล เช่นเดียวกับการใช้ยาฆ่าแมลงศัตรูพืชมากๆ แมลงเหล่านั้นก็จะมีความต้านยามากขึ้นเรื่อยๆ ยาที่มีความรุนแรงในขนาดเดิมจะใช้ไม่ได้ผล แมลงกลับจะทวีจำนวนมากขึ้นๆ

      ปัจจุบันได้พบข้อผิดพลาดนี้จึงมีการเสนอให้ป้องกันและกำจัดศัตรูพืช โดยวิธีการรักษาสมดุลย์ของสัตว์ที่กินแมลงศัตรูพืชนั้นๆ เป็นอาหาร นักวิทยาศาสตร์อังกฤษและอเมริกาพบว่า คนกินเนื้อเป็นประจำทำให้แบคทีเรียในลำไส้เล็กจะทำปฎิกริยากับน้ำย่อยของร่างกายทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในลำไส้ โรคนี้พบมากในกลุ่มคนที่กินเนื้อสัตว์เป็นประจำ เช่นแถบอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตก แต่แพทย์ไม่พบเลยในกลุ่มคนที่รับประทานแต่อาหารพืชผักผลไม้ หรืออาหารมังสวิรัติ เช่น ในประเทศอินเดีย เป็นต้น ในอเมริกาคนเป็นมะเร็งลำไส้มาก เพราะต่างนิยมบริโภคเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก ส่วนคนใน สก๊อตแลนด์กินเนื้อมากกว่าคนประเทศอังกฤษ 20 % สถิติการป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ของคนในสก๊อตแลนด์ก็มากกว่าคนในอังกฤษเป็นอัตราส่วน 20% เช่นกัน
   
     แม้แต่น้ำมันจากสัตว์ เมื่อได้รับความร้อนจะเกิดสารแมททิลคอลเรนทีน สารนี้ทำให้เกิดโรคมะเร็งในคน แต่ไม่พบสารนี้ในน้ำมันพืชเลย ปัจจุบันจึงไม่นิยมเอาน้ำมันจากสัตว์มาปรุงอาหารรับประทาน ในเนื้อย่าง 1 กิโลกรัมจะมีสารโซไพรินเทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ถึง 600 มวน ซึ่งทำให้คนเป็นมะเร็งได้เช่นเดียวกัน มีการพิสูจน์พบว่าในเนื้อวัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าที่ฉีดพ่นด้วย ดี.ดี.ที ก็จะพบสาร ดี.ดี.ที อยู่ด้วยในเนื้อวัวนั้นเป็นปริมาณที่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งสาร ดี.ดี.ที นี้สามารถทำให้เป็นหมัน มะเร็ง และโรคตับ จากการทดลองของมหาวิทยาลัยไอโอวายืนยันว่า "สาร ดี.ดี.ที ในร่างกายของคนส่วนใหญ่ได้รับมาจากเนื้อสัตว์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าเนื้อสัตว์สามารถเก็บกักสาร ดี.ดี.ที ไว้ได้ในปริมาณมากกว่าพืชผักผลไม้ ใบหญ้าถึง 13 เท่า" ปัจจุบันเกษตรกรใช้ยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มาก ฉะนั้นผักที่มีใบห่อหุ้มเป็นชั้นๆ เช่น ผักกาดขาว ผู้ปรุงควรดึงเปลือกชั้นนอกออกทิ้งไปสัก 2 - 3 ใบ ส่วนกระหล่ำปลีดอกควรนำไปล้างในน้ำที่ละลายด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ผักที่เก็บกักปริมาณยาฆ่าแมลงไว้มาก ควรล้างให้นาน โดยปล่อยน้ำให้ไหลตลอดเวลา เพื่อล้างยาฆ่าแมลงออกให้หมดก่อนนำไปปรุงอาหาร ขอแนะนำว่าควรเลือกซื้อผักที่ปลูกโดยวิธีธรรมชาติและปลอดสารพิษมาปรุงอาหาร (Organized Grown And Non-Pesticide)

  
      หนังสือพิมพ์ชิคาโคทรีบูน (Chicago Tribune) ได้ตีพิมพ์เรื่องการเลี้ยงดูอย่งผิดธรรมชาติใน อุตสาหกรรมปศุสัตว์ว่า...
     "เป็นการทำทำลายสมดุลย์ชีวเคมีในร่างกายของสัตว์ เช่นอุตสาหกรรมเลี้ยงไก่ ลูกไก่ที่เกิดใหม่จะถูกฉีดกระตุ้นด้วยยาอาหารและสารเคมีต่างๆ เพื่อเร่งการเจริญเติบโต สัตว์จำนวนนับหมื่นๆ ชีวิตถูกจำกัดให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่คับแคบ ชีวิตที่น่าสงสารทั้งหมดอยู่ในกรงขนาดจิ๋ว เป็นการเลี้ยงในระบบขั้นบันได เมื่อสัตว์มีขนาดโตขึ้นก็จะเลื่อนลงมาตามชั้นที่จัดวาง สัตว์ถูกเลี้ยงให้อยู่ในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ตัวโตไขมันมากมีเนื้อเยอะ ทุกชีวิตไม่มีโอกาสได้เห็นแสงอาทิตย์แสงจันทร์ ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือการออกกำลังกายเลย ไก่จึงขาดความแข็งแรงตามธรรมชาติ 
     จะพบว่าไก่จำนวนมากที่เลี้ยงโดยวิธีดังกล่าวมีรูปร่างวิปริตผิดธรรมดามีเนื้องอกขั้นร้ายแรงเกิดขึ้นตามส่วนต่างๆ การเลี้ยงสัตว์ในลักษณะเช่นนี้เป็นการเลี้ยงดูที่ผิดธรรมชาติอย่างยิ่ง เนื้อสัตว์ที่ได้จึงเต็มไปด้วย สารเคมีที่เป็นพิษเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้บริโภค" 

3. โรคจากสัตว์ 


     มนุษย์มีความรู้เรื่องสุขอนามัย แต่ยังคงเจ็บป่วยเป็นโรคได้ สัตว์เลี้ยงต่างๆ หากินคลุกคลีอยู่กับพื้นดินกินอาหารไม่เลือกจึงมักติดเชื้อและโรคต่างๆ เสมอ ในชนบทเมื่อหมู ไก่ วัว สัตว์เลี้ยงตายลงก็ยังนำไปปรุงอาหารโดยไม่อาจรู้ได้เลยว่าสัตว์นั้นตายด้วยโรคอะไร เชื้อโรคบางชนิดไม่อาจถูกทำลายด้วยความร้อน ผู้บริโภคจึงได้รับเชื้อโรคจากสัตว์ที่ป่วยนั้นเข้าไปโดยตรง ในโรงงานอุสาหกรรมชำแหละเนื้อสัตว์ จะพบสัตว์ที่มีเนื้องอกผิดรูปร่างอยู่เป็นจำนวนมาก เนื้อสัตว์สำเร็จรูปบางประเภททำมาจากส่วนต่างๆของสัตว์ โดยนำมาบดรวมกันแล้วผสมสีเจือกลิ่นเครื่องเทศแล้วบรรจุเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร


     ปรากฎว่านักวิทยาศาสตร์ได้ทดลองเอาตับของสัตว์ที่เป็นโรคไปเลี้ยงปลา ปลาเหล่านั้นก็เกิดเป็นโรคเช่นกัน ชาวอเมริกาบริโภคเนื้อสัตว์มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก พบว่าประชากร 1 คนในจำนวนทุกๆ 2 คนจะต้องเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจและที่สำคัญไขมันคลอเลสเตอรอลจากสัตว์ ไม่สามารถสลายตัวในร่างกายของมนุษย์ เมื่อสะสมมากขึ้นจะจับเป็นก้อนแข็งตัวในหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดแคบลง เป็นเหตุให้เส้นเลือดตีบ หัวใจจึงทำงานหนักในการสูบฉีดโลหิต หากมีไขมันอุดตันในเส้นเลือดเมื่อเส้นเลือดสูบฉีดแรงจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก และเป็นอัมพาต


     ในปี พ.ศ. 2504 วารสารทางการแพทย์อเมริการายงานว่า อาหารธัญญพืชทั้งหมดสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ 90 ถึง 97% นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการกล่าวว่ากากและเส้นใยของอาหารพืช ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ ด๊อกเตอร์ยูดี รีจีสเตอร์ หัวหน้าภาควิชาโภชนาการแห่งมหาวิทยาลัยโรมาลินดา ในรัฐแคลิฟอเนียร์ได้ทดลองให้ผู้ป่วยรับประทานแต่อาหารประเภทถั่วและธัญญพืชต่างๆ ปรากฏว่าระดับไขมันคลอเรสเตอรอลลดลงทั้งๆที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังกินเนยในปริมาณมากอยู่ก็ตาม การบริโภคเนื้อซึ่งไขมันสูงก็มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นด้วย นักวิจัยท่านหนึ่งได้พบว่า หากจำนวนคลอเรสเตอรอลในเนื้อสัตว์ลดลง 1 % อัตราการเป็นโรคหัวใจในประชากรจะลดลงถึง 2 % คลอเรสเตอรอลในไขมันสัตว์ไม่สามารถละลายได้ง่ายในร่างกายของมนุษย์ มันจะสะสมอยู่ตามผนังของเส้นเลือดนานๆเข้าจะทำให้ภายในเส้รเลือดเล็กแคบ เป็นเหตุให้เลือดไหลผ่านได้น้อย ภาวะอันตรายคือ เส้นโลหิตอุดตัน หรือ เส้นโลหิตเกิดแข็งตัว หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดเป็นเหตุให้ความดันโลหิตสูง ป่วยเป็นโรคหัวใจ และหัวใจวายได้ อาหารและไขมันจากพืชไม่มีสารคลอเรสเตอรอลอยู่เลย ปัจจุบันจึงนิยมประกอบอาหารด้วยน้ำมันพืชเทานั้น ในเนื้อสัตว์ยังมีธาตุโซเดียมสูง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคหมดกำลังวังชา โรคกระเพาะ โรคเบาหวาน ผัก ผลไม้สดๆ ซึ่งเก็บมาใหม่ๆ เป็นอาวุธที่มีอานุภาพ จะต่อสู้โรคต่างๆได้หลายชนิด การออกกำลังกายประกอบกับการหายใจ การนอนหลับพักผ่อน ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ ดื่มน้ำสะอาดและรับแสงแดดดีๆ สิ่งเหล่านี้ประกอบกันทั้งหมดจะทำให้สุขภาพดีขึ้นได้


4. การเน่าเสียเร็ว 

     ในทันทีที่สัตว์ตายลง ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมาย สารโปรตีนในตัวสัตว์จะจับกันเป็นก้อนพร้อมกับปล่อยเอ็มไซม์ที่มีพิษออกมาทำให้เนื้อเน่าเสียอย่างรวดเร็ว ต่างไปจากพวกพืชผักซึ่งมีโครงสร้างของผนังเซลล์ ไม่สลับซับซ้อนมีความมั่นคงทำให้ขบวนการเน่าเสียเป็นไปอย่างช้ามาก หากนำเนื้อสัตว์มา 1 จานและผักสด 1 ต้น นำมาตั้งวางไว้ ภายในวันเดียวเนื้อจะเริ่มบูดเน่า แต่ผักแม้จะทิ้งเป็นเวลาหลายวันก็จะเพียงเฉาลง ผักเหล่านี้เมื่อนำไปแช่น้ำก็จะกลับฟื้นสดขึ้นดังเดิม

     เนื้อสัตว์ใหญ่หากทิ้งไว้จะพบตัวพยาธิและมันจะโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของคนพร้อมกับแพร่พันธุ์ทวีจำนวนมากขึ้นจนน่ากลัว เช่น พยาธิไส้เดือน พยาธิตัวตืด พยาธิใบไม้ พยาธิตัวจี๊ด พยาธิปากขอ ฯลฯ ส่วนผักผลไม้เราจะพบตัวหนอนที่เป็นศัตรูพืชบ้าง แต่ตัวหนอนเหล่านี้เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ ก็จะกลายเป็นผีเสื้อ แมลงวันทองหรือแมลงอื่นๆ ไม่ใช่พยาธิอย่างในเนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ต้องผ่านขั้นตอนที่ยาวนานเริ่มจากสัตว์ถูกฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วนำไปชำแหละแยกประเภทส่วนต่างๆ นำเข้าแช่ในห้องเย็นเพื่อจัดลำเลียงส่งไปยังตลาด ตามห้างร้าน ขณะที่วางขายก็จะต้องอยู่ในตู้แช่แข็งตลอดเวลาเพื่อยืดอายุการเน่าเสียให้นานที่สุด เมื่อแม่บ้านซื้อไปแล้วใช้ไม่หมดก็ต้องเก็บเข้าตู้เย็นไว้อีก ลองนึกดูว่าเนื้อสัตว์ที่ปรุงอาหารให้เรารับประทานเข้าไปในแต่ละมื้อจะอยู่ในสภาพเช่นไร

     แน่นอนที่สุดทันทีหลังจากที่เรารับประทานอาหารเข้าไปแล้ว เนื้อก็จะเริ่มบูดเน่าอยู่ภายในร่างกายของเรา ร่างกายต้องใช้เวลา 3 - 5 วันเนื้อสัตว์ที่กินเข้าไปจึงจะถูกขับถ่ายออกมาได้หมด ซึ่งต่างจากกากใยของพืชที่จะถูกขับออกจากร่างกายได้ภายในเวลาครึ่งวัน ในระหว่างที่เนื้อสัตว์ตกค้างในลำไส้ เนื้อซึ่งกำลังบูดเน่าได้สัมผัสกับอวัยวะย่อยอาหารของเราอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กทำงานผิดปกติเป็นสาเหตุให้เกิดโรคลำไส้และโรคอื่นๆติดตามมา นายแพทย์ท่านหนึ่งได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับอาหารเนื้อสัตว์ว่า "เป็นการดีที่จะรับประทานอาหารผักด้วยความโล่งใจ สบายใจ โดยไม่ต้องเป็นกังวลว่าอาหารนั้น ปรุงมาจากเนื้อสัตว์ประเภทไหน" 

5. การขับถ่ายไม่สะดวก 

     เนื้อสัตว์เป็นอาหารที่ไม่ค่อยมีกากหรือเส้นใย ทำให้เคลื่อนตัวไปตามทางเดินอาหารได้ช้ากว่าอาหารประเภทพืชผักถึง 4 เท่า อาหารเนื้อใช้เวลายาวนานมากกว่าจะถึงระบบขับถ่าย ในระหว่างการย่อยที่ยาวนาน กากอาหารจะถูกดูดเอาน้ำไปมากทำให้ผู้ที่นิยมรับประทานแต่อาหารเนื้อมีอุจจาระแข็ง แห้ง ถ่ายลำบาก มักป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายหลายอย่างเช่น โรคท้องผูกเรื้อรัง โรคริดสีดวงทวารเป็นต้น ดังกล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่าเนื้อสัตว์เป็นบ่อเกิดของโรคในทุกระบบของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ระบบย่อยอาหาร ระบบทางเดินอาหารรวมไปถึงระบบขับถ่าย ล้วนมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆมากมาย เมื่อกินเนื้อทุกๆวัน ก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ทุกๆวัน

     อาหารพืชผักผลไม้มีกากและเส้นใยมาก เมื่อรับประทานเป็นประจำก็จะช่วยป้องกัน และยับยั้งโรคริดสีดวง โรคมะเร็งลำไส้ โรคไส้ติ่ง โรคอ้วน โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ไม่ให้เกิดขึ้น จากการสำรวจเราจะไม่เจอโรคเหล่านี้ในประชากรที่รับประทานอาหารที่มีกากใยกันมากๆเลย ในปัจจุบันนี้ชาวตะวันตกทั้งหลาย หันมารับประทานอาหารพืชผักผลไม้กันมาก ก็เพราะเหตุผลของสุขภาพอนามัยร่างกายมากกว่าเรื่องศีลธรรมความเชื่อและจิตใจ

   
     ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์แพทย์พบวิธีรักษาที่เป็นธรรมชาติที่สุดในการรักษาโรคทั้งหลายคือ เลิกกินเนื้อสัตว์โดยเด็ดขาด ท่านเคยคิดบ้างไหมว่า การรักษาเมื่อเจ็บป่วยแล้วเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เป็นการสูญเสียเงินทองที่หามาด้วยความยากลำบากไปอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าใครก็อยากมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน เพราะสิ่งเหล่านี้เงินทองซื้อไม่ได้ คนเราทุกคนสร้างบ้านเรือนของเราด้วยไม้ ด้วยวัสดุอย่างดี ก็เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรง จะได้อาศัยอยู่อย่างมีความสุข ฉะนั้นเราก็ควรสร้างร่างกายของเราด้วยอาหารที่เป็นธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ เพื่อให้ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ได้มีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขเช่นเดียวกัน











บทความที่ได้รับความนิยม