เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันอาทิตย์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์




อานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์




อ้างอิงแหล่งที่มา

7 วันสำคัญที่ควรละเว้นเนื้อสัตว์




7 วันสำคัญที่ควรละเว้นเนื้อสัตว์ ผู้มีปัญญาจะไม่กระทำการเหล่านี้

7 วันสำคัญที่ควรละเว้นงดกินเนื้อสัตว์ทั้งปวง  เพื่อเป็นมงคลชีวิตสู่ความสำเร็จของตนเองและครอบครัว  ถือเป็นมหากุศล และเมตตาธรรมสูงสุด
 
แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมาก  ที่ยังคงเข่นฆ่ากินเลือดกินเนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน  แต่อย่างน้อยที่สุดควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง 7 ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิดโดยให้หันมารับประทานอาหารเจแทน ได้แก่

1.   วันเกิดของตนเอง
2.   วันเกิดของลูกหลาน
3.   วันแต่งงาน
4.   วันจัดเลี้ยงสังสรรค์
5.   วันเซ่นไหว้บรรพชน
6.   วันทำบุญสร้างกุศล (วันพระ) เปิดกิจการ
7.   วันขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

อันเนื่องด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ :

1.   ในวันเกิดของตนเอง

ในวันเกิดของตนเอง  ทุกคนพึงใคร่ครวญย้อนระลึกไปถึงวันที่เราจะถือกำเนิดมาในโลกนี้  ในช่วงเวลานั้นทั้งตัวเราและแม่ผู้ให้กำเนิด ชีวิตทั้งคู่ต่างแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย  ไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้หากปราศจากบุญกุศลและผู้คนรอบข้างค้ำจุน ไฉนเลยเราจะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อวันคล้ายวันเกิดเวียนมาถึง  ควรพิจารณาให้เห็นถึงความโชคดีที่เกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์  ทำให้มีโอกาสจะบำเพ็ญบารมีสร้างกุศลต่อไปภายหน้า  ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณบิดามารดาที่ได้โอบอุ้มเลี้ยงดูตัวเราให้เติบใหญ่มาจนทุกวันนี้

ฉะนั้น “วันที่เราได้เกิดมามีชีวิตใหม่  จึงไม่ควรทำลายผู้อื่น”  สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลองวันที่เราเกิดมา  มนุษย์พากันฉลองวันเกิดของตนด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์เป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลง  แล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร

สัตว์ทุกตัวที่มีพ่อแม่ดูแล  หากฆ่าพ่อแม่เขาเสียแล้ว  ลูกของเขาใครเล่าจะเลี้ยง  ทุกวันนี้เด็กมากมายที่เกิดมายังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ตายเสียแล้ว  บ้างพ่อแม่ตายไปไม่ได้เลี้ยงดู  บางคนเติบโตขึ้นมาก็อายุสั้น  ผู้ที่ได้เห็นแจ้งในกฎแห่งกรรมต่างสลดหดหู่ใจยิ่งนัก

2.   วันเกิดของลูกหลาน

วันเกิดของลูกหลานวันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิด  ผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด  ลูกของเราเรารักดังแก้วตาดวงใจ  คนเรารักทะนุถนอมดวงตาของตน  กลัวตาจะมืดบอดอย่างไร  ก็รักใคร่ทะนุถนอมลูกของตนอย่างนั้น  ยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวี  แม้แต่ยุง เหลือบริ้นไร  มิยอมให้ขบกัด  ยามใดที่ได้ข่าวว่าลูกประสบอุบัติเหตุจะบาดเจ็บหนักหนาแค่ไหนก็ไม่รู้  ยังร่ำไห้ฟูมฟายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยราวกับจะขาดใจ  อยากพบหน้าลูกรักให้จงได้  ต่อให้มีเงินทองทรัพย์มสมบัติมากล้นสูงท่วมภูเขาก็จะสละแลกเอาชีวิตลูกของตนไว้

สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์  เวลาที่มีลูกอ่อนจะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้  มันเฝ้าแต่คอยระแวดระวังภัยไม่ยอมหลับนอน เกรงว่าลูกน้อยจะได้รับอันตราย  ดวงใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์  ลูกของใครใครก็รัก

เพราะฉะนั้น วันที่เราได้ลูกจึงไม่ควรฆ่าลูกผู้อื่น  วันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจ  ก็แล้วทำไมจึงไปทำให้ผู้อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป พ่อแม่ทั้งหลายเมื่อถึงวันเกิดของลูก  กับเลี้ยงฉลองให้ด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์  เช่นนี้แล้วจะหวังให้ลูกของตนมีอายุยืนได้อย่างไร

หากเอาเลือดเอาเนื้อลูกของเขามาบำรุงเลี้ยงดูลูกของเรา ก็จะมีแต่โรคภัยคุกคามเบียดเบียน  วงเวียนกรรมหมุนสืบต่อไปไม่มีสิ้นสุด พ่อแม่บางคนลูกเกิดมาได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องตายจาก  บางคนลูกเกิดมาพิกลพิการไม่สมประกอบ  บางคนก็ขี้โรคอ่อนแอ  สุขภาพไม่ดี เป็นเพราะเหตุใด  กี่คนที่รู้จักพิจารณาใคร่ครวญ

“สัตว์โลกทั้งหลายล้วนมีกรรมเป็นของตน  มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตามให้ผล…ไม่มีข้อยกเว้น”

3.   วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส

วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส  เป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต  ในชั่วชีวิตหนึ่งของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว  หากมีหลายๆครั้งก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะไปอวยพรให้อีก

วันแต่งงานคือ วันเริ่มต้นแห่งการมีชีวิตคู่  การได้อยู่ร่วมกันกับคนที่เรารัก ถือว่าเป็นโชคดีครั้งใหญ่ในชีวิต ทุกกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีชีวิตรักกันไปจนแก่จนเฒ่า คู่รักของใครต่างก็ย่อมรักใคร่หวงแหน ไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย สัตว์ก็มีคู่ชีวิต รู้จักรักและหวงแหนคู่ชีวิตของเขาเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาครองแต่กลับไปฆ่าคู่ชีวิตผู้อื่น  เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องโดดเดี่ยว อ้างว้างไปจนตลอดชีวิต…มันช่างไม่ยุติธรรมเลย

ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครองจึงไม่ควรพรากชีวิตสัตว์อื่นคนทั้งหลายมองไม่เห็นกฏแห่งกรรม  พากันเลี้ยงฉลองการแต่งงานด้วยเลือดเนื้อชีวิตสัตว์ ทำให้คู่ชีวิตแต่งงานมากมายที่หย่าร้างกัน บางคู่ไม่สามีหรือภรรยาต้องมีอันล้มหายตายจากกันไปต้องมีอันเป็นหม้ายอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความจริงข้อนี้ควรไตร่ตรองให้ดี

พิธีมงคลสมรสของชาวจีนเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมายาวนาน เราจะพบเห็นเครื่องใช้ต่างๆในงาน ไม่ว่าจะเป็นผ้าปูโต๊ะ ปลอกหมอน  ผ้าคลุมเตียง ชุดแต่งงาน และแม้แต่ขนมเซ่นไหว้ฟ้าดิน  จะมีรูป “ นกหยวนหยาง ” บินเคียงคู่อยู่ด้วยกันพร้อมทั้งเขียนอักษรที่เป็นศิริมงคลอำนวยอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวเพื่อจะได้ครองชีวิตคู่ยั่งยืนสุขสมหวังตลอดไป

นกหยวนหยางนี้เป็นนกที่มีความรักที่มั่นคงในคู่ของตนไม่ว่าไปไหนๆมันก็จะบินเคียงคู่กันไปตลอดเวลาชั่วชีวิตจะไม่ยอมแยกจากกันเลย หากวันใดที่คู่ของมันตายลงนกอีกตัวหนึ่งก็จะกลั้นใจตายไปด้วย
ชนชาวจีนยกย่องสรรเสริญความเด็ดเดี่ยวมั่นคงในการครองคู่ของนกชนิดนี้  จึงได้นำมาเป็นสัญลักษณ์ในพิธีมงคลสมรสเพื่อเตือนสติให้อนุชนรุ่นหลังระลึกไว้เสมอว่าคู่ชีวิตของใครไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็ล้วนแต่รักใคร่หวงแหนคู่ของตนทั้งสิ้น

ฉะนั้น ในวันมงคลสมรส เราจึงไม่ควรทำสิ่งอัปมงคลให้แก่ตนโดยแยกคู่ครองของผู้อื่น เป็นเรื่องน่าอดสูใจอย่างยิ่งที่คนเราแต่งงานกันเพียงคู่เดียว ในวันนั้นคู่ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายต้องถูกฆ่าตายไปมากมาย  ชีวิตที่เหลืออยู่ต้องโดดเดี่ยวไปจนชั่วชีวิต…เช่นนี้เป็นการสมควรแล้วหรือ?

4.   งานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร

งานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร  ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตร ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมกันต่างปลื้มปิติ ดีอกดีใจที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีก บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงสนุกสนาน
โอกาสที่น่ายินดีนี้จึงไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองความดีใจที่ได้พบหน้ากัน แต่สัตว์ทั้งหลายต้องโศกเศร้าเสียใจที่ต้องตายจากกัน

สัตว์ทุกตัวต่างก็มีพี่น้องเพื่อนฝูงห่วงใยเฝ้ารอคอยการกลับแม้แต่สุนัขของเรายังแสดงความยินดีอกดีใจทันทีที่เห็นเจ้าของกลับถึงบ้าน หากวันใดกลับมาล่าช้าก็จะเฝ้าชะเง้อคอมองหาคอยท่าอย่างใจจดใจจ่อ  สัตว์บางชนิดที่อยู่รวมกันเป็นฝูงเมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งขาดหายไปตัวอื่นๆ ก็จะรอคอยไม่ยอมไปไหน  ไม่ต่างอะไรกับคนเลย  ถ้างานเลี้ยงขาดคนที่เรารอคอยพบหน้าไปแม้เพียงคนเดียวงานนั้นดูช่างเงียบเหงาเสียนี่กระไร

มีปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอว่าปลาวาฬมักจะหลงทางว่ายน้ำเข้ามาเกยตื้นอยู่บนชายฝั่ง  ตัวที่มีขนาดใหญ่โตมากโอกาสที่คนจะช่วยให้กลับสู่ทะเลลึกเเป็นไปได้ยากเหลือเกินมันจึงต้องตายอยู่ริมชายหาด ส่วนตัวที่มีขนาดเล็กเมื่อช่วยให้ออกไปได้แล้วก็ว่ายกลับมาที่เดิมอีก  หลายฝ่ายต่างไม่เข้าใจในการกระทำของมัน สุดท้าย  จึงทราบเหตุผลว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะปลาวาฬไม่ต้องการจากฝูงของมันไปตราบใดที่ปลาตัวอื่นๆ  ยังไม่สามารถรอดออกไปได้

ความรักใคร่สมัครสมานกลมเกลียวห่วงใยซึ่งกันและกันไม่ใช่จะมีแต่ในหมู่มนุษย์เท่านั้น การที่คนเราทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องพลัดพรากแตกแยกกัน  จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเลย

งานที่ต้องการเลี้ยงอาหารเพื่อนฝูงญาติมิตรเช่นนี้  เราจัดขึ้นเป็นประจำ  หากเจ้าภาพต้อนรับเลี้ยงดูแขกหรือด้วยเนื้อสัตว์ยิ่งเลี้ยงคนมากสัตวืก็ต้องล้มตายมาก  ตรงกันข้ามหากผู้ที่เป็นเจ้าภาพมีความสว่างในใจ งดเว้นเนื้อสัตว์จัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชและผักผลไม้บุญกุศลยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้นแก่เพื่อนฝูง ผู้มาร่วมงาน ย่อมจะนำมาซึ่งความปิติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง.

5.   ในวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

มีคำกล่าว “หนึ่งวันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา ร้อยปีอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน”ความหมายก็คือลูกที่กตัญญูต้องรู้จักสำนึกอยู่เสมอว่า  การได้มีชีวิตอยู่รับใช้พ่อแม่  ผู้บังเกิดเกล้าทุกค่ำเช้าเป็นเวลา 100 ปี นั่นเท่ากับว่าเราได้ตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูชีวิตมาได้ 1 วัน

ตั้งแต่เรายังเล็กๆ ท่านป้อนข้าว ให้นม ให้เสื้อผ้าที่อยู่ที่กิน ให้ความรู้การศึกษา  ให้ความรักและความอบอุ่นยามเจ็บไข้พ่อแม่ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นคอยเฝ้าดูแลตลอดเวลากว่าเราจะโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นเวลานานนับสิบๆ ปี ลองคิดคำนวณดูเอาเถิดว่ากี่ร้อย  กี่พันกันล่ะที่ท่านต้องลำบาดเลี้ยงดูเรา

เพราะฉะนั้น  ต่อให้เรามีอายุยืนอยู่ได้ถึงหมื่นปี  คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ทุกวันมิได้ขาดก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองได้หมด

พระคุณบิดามารดานั้นมากมายล้นพ้น  สุดจะหาคำใดในโลกมาเอ่ยพรรณนา ขอให้เราทุกคนย้อนมองดูตัวเองแล้วพิจารณาดูซิว่าเราเคยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ด้วยความจริงใจสักหนึ่งวันเต็มๆมีบ้างไหม?
ยามที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ายังมีชีวิตอยู่  ลูกควรกตัญญูรู้คุณด้วยการเคารพเชื่อฟัง  ไม่นำเรื่องราวใดๆ ทำให้ท่านต้องทุกข์ร้อนใจ ควรดูแลเอาใจใส่ให้ท่านทั้งสองมีแต่ความสุขกายสบายใจ  เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ให้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านสืบต่อจนถึงรุ่นลูกหลาน

การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ  ก็เพื่อเป็นแบบอย่างของคุณธรรมอันดีแก่ลูกหลานของเราให้ได้รู้จักสำนึกในพระคุณบิดามารดาบุพการีมีความกตัญญูรู้คุณสืบต่อกันไป มิใช่เซ่นไหว้เพื่อขอโชคลาภ  เงินทองยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ตัวเองและลูกเมีย  เราไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือที่ท่านเลี้ยงเรามาชั่วชีวิตของท่าน  ตลอดเวลาเราได้รับอาหาร เสื้อผ้า ข้างของ เงินทอง  ตลอดจนความรู้  ทั้งหมดที่ท่านให้มาแล้วยังไม่เพียงพอที่เราจะใช้ดำเนินชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวลูกหลานต่อไปอีกหรือ  ทำไมเราจะต้องเซ่นไหว้วิงวอนขอบันดาลสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างคนไม่รู้จักพอทั้งๆที่ท่านไม่มีสังขารร่างกายจะลุกขึ้นมาให้เราได้อีกแล้ว

การที่ลูกหลานกราบไหว้บรรพบุรุษ  เพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆ  จึงมิใช่การแสดงความกตัญญูที่แท้จริง หากเราสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักแต่จะขอวิงวอนขอเอาจากผู้อื่นต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ก็จะได้นั่งวิงวอนรอคอยให้ผู้อื่นช่วยแทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถที่พ่อแม่มอบให้แล้วออกไปบากบั่นมุ่งหน้าประกอบกิจการงานอย่างผู้มีความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง  ถ้าหากลูกหลานของเรามัวแต่งอมืองอเท้าอย่างนี้ความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอน  ทำตนเป็นแบบอย่างที่ผิดๆ ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษ  เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย  บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่ในเรื่องนี้  

ผู้รู้ทั้งหลายก็จะพากกันติเตียนในความโง่เขลาของเรา ชีวิตเลือดเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่า แย่งชิงเอามาจากสัตว์เป็นเสมือนของต้องห้ามที่ผิดกฎหมาย หากนำไปมอบให้ใครผู้รับมอบก็จะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย  เช่นนี้แล้วดวงวิญญาณของบรรพบุรุษกลับต้องได้รับหนี้สินบาปเวรจากการกระทำของลูกหลานโดยที่ท่านไม่ได้รู้เห็นเป็นใใจด้วยเลย..ช่างหน้าสลดใจจริงๆ ผู้มีความกตัญญูที่แท้จริงพึงกระทำอย่างยิ่ง

ในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรัก  ทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปและต่างก็หวังว่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับจะเดินทางไปสู่สุคติภพไม่อยากให้ตกนรกหมกไหม้ไปอยู่ในที่ที่น่ากลัวได้รับแต่ความทรมานทุกข์ทรมานยากลำบาก ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย  ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่ หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย

6.   ในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส

คนเรามีโอกาสประสบสิ่งดีๆ ในชีวิต  เปิดโอกาสให้ได้สร้างกุศลอยู่เสมอ เช่น มีกิจการร้านค้าเป็นของตัวเองมีบ้านใหม่ไม่ว่าจะเป็นวันเปิดร้าน  วันขึ้นบ้านใหม่ หรือวันทำบุญอื่นๆ  การจัดงานในวันทำบุญเหล่านี้ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นให้ชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปมิใช่หรือ?

ฉะนั้นในงานบุญสร้างกุศลทุกงาน จึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อ  เพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์หากทำเช่นนั้นเราจะหวังความเจริญรุ่งเรือง  และความสงบสุขในชีวิตได้อย่างไร ทุกชีวิตที่ต้องตายล้วนเคียดแค้นอาฆาตพยาบาทต่างจะพากันรุมสาปแช่งไม่ยอมให้มมีความสุขความรุ่งเรืองในกิจการงานใดๆ  ไม่ยอมให้เราได้อยู่อย่างมีความสุขในบ้านหลังใหม่  กิจการร้านค้าก็จะตกต่ำแย่บ้านและครอบครัวจะปราศจากความสุขเต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้งเพราะวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่าหากคนฆ่าผู้อื่นแล้วยิ่งเจริญขึ้น สัตว์อื่นๆ ก็จะถูกฆ่าตายเพื่อฉลองความรุ่งเรืองอีกนับไม่ถ้วน พวกเขาไม่มีวันยอมแน่

เพราะเหตุนี้ในโอกาสงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนาแต่ความ เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอยู่เย็นเป็นสุขจึงไม่ควรสร้างบาปเวรเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตายหากทำบาปเสียก่อนเพื่อแลกเอาบุญกุศลทีหลัง เช่นนี้แล้วคิดว่าจะไปรอดหรือ ?

7.   วันขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ในสากลโลกไม่เคยทอดทิ้งคนดี ไม่มีเรื่องอะไรในใจของมนุษย์ที่ฟ้าเบื้องบนไม่ล่วงรู้

คนจำนวนมากกราบวิงวอนขอสิ่งต่างๆ มากมายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ  แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รับสมความปรารถนา บางคนก็ได้บ้าง บางคนไม่เคยได้เลยเป็นเพราะเหตุใดกัน  จะเป็นด้วยว่าฟ้าเบื้องบนลำเอียงไม่ยุติธรรม เลือกที่รักมักที่ชังกระนั้นหรือ ? มนุษย์มักคิดเอาแต่ฝ่ายเดียว  ไม่เคยมองย้อนกลับมาดูการกระทำของตัวเอง  หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสถามเราว่า

“ เธอได้ทำกรรมดีอะไรกันมาแล้วบ้างที่สมควรจะได้รับการช่วยเหลือจากฟ้าเบื้องบน ในเมื่อปากของเธอก็ยังมีกลิ่นคาวเลือดคาวเนื้อผู้อื่น  ท้องของเธอก็ยังเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ทั้งหลาย หนี้สินบาปเวรที่เธอสร้างไว้กับผู้อื่นนี้มากมายยังไม่ได้ชดใช้เลยเธอยังจะมีสิทธิ์มาวิงวอนขออะไรได้อีก ”

เช่นนี้แล้ว…พวกท่านทั้งหลายจะตอบท่านว่าอย่างไร?

คนในโลกมนุษย์ เมื่อทำผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องให้จองจำติดคุกติดตาราง ในระหว่างที่รับโทษทัณฑ์ใช้หนี้กรรมมีหรือที่ยังจะสามารถเรียกร้องหาความสุข  ความสบาย  ลาภยศ เงินทอง  ใครบ้างจะให้เขาได้ คนที่ยังกินเลือดเนื้อผู้อื่นก็คือติดหนี้เลือดเนื้อชีวิตเขาอยู่เช่นกัน

บางคนวิงวอนขอให้ลูกหลานมีความกตัญญู  แต่ตนเองไม่เคยกตัญญูต่อพ่อแม่เลยแล้วจะหวังไปทำไม
บ้างก็วิงวอนขอให้มีเงินทองร่ำรวยแต่ตนเองเกียจคร้าน ไม่เคยทำอะไรเลยแล้วจะร่ำรวยได้อย่างไร ?
บ้างก็วิงวอนขอให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีแต่ตลอดเวลา ตนเองกินเลือดเนื้อสัตว์ที่เต็มไปด้วยพิษภัยแล้วจะให้แข็งแรงได้อย่างไร ?

บ้างก็วิงวอนขอให้ชีวิตยืนยาวแต่กลับฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทำให้ผู้อื่นต้องตาย  แล้งจะให้ตัวเองมีอายุยืนยาวไปได้สักเท่าใด ?

     จงดูต้นไม้เอนไปทางใด             ก็ล้มทางนั้น

คนเราประพฤติอย่างไร                   ก็สิ้นใจอย่างนั้น

หากทุกวันสร้างแต่บาปเวร             ย่อมต้องได้รับผลของมัน

ใครเล่าจะช่วยได้                             ถ้าไม่ใช่  “ ตัวของเราเอง ”

ฉะนั้น   ในโอกาสที่ไปกราบไหว้สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ไหน   ทุกคนควรชำระล้างปาก  ลิ้นให้สะอาดด้วยการกินเจ  เว้นจากการกินเนื้อสัตว์  กระทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาและจิตใจ เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเองโดยมิต้องร้องขอ จงระลึกไว้เสมอว่า  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกๆพระองค์ ล้วนบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว  ไร้มลทินหมดสิ้นกิเลส  ไม่มีหนี้สินเวรกรรมใดๆ หลงเหลืออยู่เลย  ทุกพระองค์ดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์สะอาดยุติธรรม  และเปี่ยมด้วยพระหฤทัยที่เมตตากรุณาต่อปวงสรรพสัตว์ทั้งหลาย

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงไม่เคยหวังเงินทองของถวายที่มีราคาใดๆ จากมนุษย์เลย  แต่มีเครื่องสักการะอย่างหนึ่งซึ่งล้ำค่าไม่มีอะไรมาเทียบได้ แม้เงินทองมากมายก็ไม่สามารถซื้อได้  อีกทั้งไม่สามารถไปหามาจากที่ใดแต่ทว่าสิ่งล้ำค่านั้น ทุกคนมีอยู่ในตัวเองสิ่งนั้นก็คือ “ จิตใจ ”

“ จิตใจ ” ที่มีแต่ความบริสุทธิ์ที่ดีของมนุษย์นี้แหละเป็นเครื่องสักการะบรรณาการอันล้ำค่าที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์อยากได้  และโปรดปรานกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด  ไม่ว่ายุคใดสมัยใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าศาสนาไหนต่างรอคอยให้มนุษย์เอาจิตใจที่ปราศจาก  โลภ หลง ความโกรธ เกลียด จิตใจที่มีแต่ความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์มาเป็นเครื่องบูชาถวายต่อพระองค์

แต่มนุษย์ก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนผิดหวังตลอดมา  นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอมนุษย์ทั้งหลาย  จงอย่าได้ทำให้เบื้องบนผิดหวังอีก  เพราะการถวายเครื่องสักการะที่เป็นแต่เพียงวัตถุสิ่งของเท่านั้น
ขอให้ทุกคนจงนำเอา  “ จิตใจอันดีงาม ” ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุกๆ คน   ออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนทุกพระองค์โดยพร้อมเพรียงกันทุกคนเถิด

ฉะนั้นโอกาสทั้ง 7 วัน  ที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมดจะเห็นว่า  ในชั่วชีวิตของแต่ละคนล้วนต้องได้ประสพพบเจอ  หากเรารู้จักใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงอานิสงส์ของการงดเว้นเนื้อสัตว์ในโอกาสดังกล่าวได้  ก็ย่อมจะเป็นโชคดีทั้งต่อตนเองและผู้ที่มาร่วมงาน  ทำให้ทุกคนสามารถตักตวงเอาบุญกุศลไว้ได้อย่างเต็มบริบูรณ์

ขออย่าให้ทุกท่านพลาดโอกาสดีๆ  เช่นนี้ไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกเลย
ขอความสุข  ความเจริญ  จงมีแด่ท่านและครอบครัวผู้ปฏิบัติธรรม
                                                     
                                                        …ด้วยความปรารถนาดี…

...................................................................................................................................................................

อ้างอิง       http://www.96rangjai.com/forum/index.php?topic=1620.0

บทความที่ได้รับความนิยม