เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กินเจตลอดชีวิตไม่ใช่แค่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเท่านั้น - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทานโดย เป้าซื่อหลิงถง

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา พระโอวาทเป้าซื่อหลิงถงเมตตา

        "เราอยู่ข้างกายของพวกเจ้าเสมอ พวกเจ้ามีกุศลเราก็จด มีความผิดเราก็จด นั่งสัปหงกกันก็ถูกจดหนึ่งความผิด พูดนินทาก็ถูกจดสิบความผิด ในใจของเจ้าบังเกิดความคิดที่ไม่ดีก็ถูกจดสิบความผิด ถ้าความคิดที่ดีบังเิกิดขึ้นก็ถูกจดสิบบุญกุศล แต่ความผิดของพวกเจ้ายังมากกว่ากุศลเสียอีก พวกเราเป้าซื่อหลิงถงอยู่ข้างกายพวกเจ้าตลอดเวลา

เมื่ออยู่ตามลำพัง จงอย่าได้ทำเรื่องที่น่าละอายแก่ใจ เคารพเทพเทวาดั่งพระองค์ท่านสถิตอยู่ เหนือศรีษะขึ้นไปสามฟุต มีเทพเทวาอยู่

        ต้องศึกษา "เหวิน จื๋อ ปิน ปิน" เหวิน ก็คือ ความสามารถ, จื๋อ ก็คือการอบรมบ่มเพาะคุณธรรมภายใน เมื่อพวกเจ้าได้ตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิตกันแล้ว แต่ยังสร้างวจีกรรมอยู่

        กินเจตลอดชีวิตไม่ใช่แค่ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเท่านั้น แต่คุณธรรมทางปากไม่บำเพ็ญ วจีกรรมไม่บริสุทธิ์สะอาด "ใต้ลิ้นซ่อนคมมีด ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเห็นเืลือด" นั่นยังน่ากลัวยิ่งกว่ากินเนื้อสัตว์เสียอีก ต้องระมัดระวังวาจาและทุกอากัปกิริยาของตนเอง

        ไม่ "เคารพบูชาเซียนพุทธะ" เจ้าอยู่ในสถานธรรมทุกวัน ในสถานธรรมก็มีเซียนพุทธาประทับอยู่ แต่การกระทำของพวกเจ้าเหลวไหล มักง่าย สนุกสนานเฮฮา ไม่มีความสำรวมเคร่งครัดเที่ยงตรง เวลากราบพระไม่มีจิตที่ศรัทธาเคารพ การกราบพระทำพอเป็นพิธีเท่านั้น บางคนกราบพระไปก็คิดโน่นคิดนี่ไปด้วย ล้วนถูกจดความผิดตั้งมากมาย ข้อแรกในกฏพุทธระเบียบ 15 ข้อ ก็คือ "เคารพบูชาเซียนพุทธะ" สอนให้พวกเจ้าสำรวมระมัดระวังตนยามอยู่ลำพัง นี่ก็เป็นความสามารถก้าวแรกของการบำเพ็ญตน ในที่ลับตาไม่ทำเรื่องน่าละอายแก่ใจ ทุกขณะเวลาระมัดระวังความคิดของตน เช่นนี้การบำเพ็ญธรรมก็เริ่มก้าวหน้าขึ้นแล้ว"





วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทุกคนรู้หรือไม่ว่า...เวลาที่สัตว์ถูกฆ่าเป็นอาหารนั้นน่าสงสารเพียงใด ? - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เซียนน้อยจินเหลียนถงจื่อ ผู้ติดตามพระพุทธจี้กง

     
พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาประทาน 
เซียนน้อยจินเหลียนถงจื่อ ผู้ติดตามพระพุทธจี้กง  

        "พวกเธอมาสถานธรรม ทานเจอร่อยไหม ? (อร่อย) แต่ว่าบางคนนั้นในใจก็ยังคิดถึงเนื้อสัตว์อยู่เลย อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่ดีนะ...

ทุกคนรู้หรือไม่ว่าเวลาที่สัตว์ถูกฆ่าเป็นอาหารนั้นน่าสงสารเพียงใด ลองคิดถึงตอนที่เธอไม่ทันระวังโดนมีดบาดก็เจ็บจนร้องลั่นบ้านแล้ว แต่เวลาที่พวกเธอถือมีดไปฆ่าสัตว์ทำเป็นอาหาร ก็ไม่ได้ฉีดยาชาให้เขา เขาจะเจ็บปวดขนาดไหน เวลาที่พวกเธอรับการผ่าตัดยังต้องฉีดยาชาให้จึงจะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่พวกเธอไม่ได้ฉีดยาชาให้สัตว์แล้วฆ่าสัตว์เหล่านั้น พวกเขาต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

ดังนั้นพวกเธออย่าได้เข่นฆ่าชีวิต เพราะว่าการเข่นฆ่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เธอฆ่าสัตว์ใด ผลกรรมจะตามสนอง ต่อไปภายภาคหน้าสัตว์เหล่านั้นก็จะมาฆ่าเธอคืน

พวกเธอลองมองดูภัยพิบัติในตอนนี้ นับวันก็ยิ่งมากขึ้นใช่ไหม ? (ใช่) ล้วนเป็นเหตุมาจากแรงกรรมแห่งการฆ่าก่อให้เกิดขึ้น เพราะว่าเธอเอาแต่ฆ่าสัตว์กันไม่หยุดหย่อน พวกเขาก็จะโกรธแค้นอาฆาตเคียดแค้นชิงชังมาก กระทั่งถึงเวลาที่สัตว์เหล่านั้นกลับชาติมาเกิดกายเป็นคน ก็ถึงคราวที่เขาจะกลับมาฆ่าพวกเธอ เช่นนี้ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน

การเข่นฆ่าชีวิตนั้นเป็นบาปกรรมที่หนักมาก เพราะว่าเธอเข่นฆ่าชีวิต เธอก็จะเหมือนกับยักษ์มาร พวกเธอเห็นว่าคนฆ่าคนนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวใช่ไหม ? (ใช่) เธอก็จะบอกว่าคนคนนั้นเป็นยักษ์มาร หากเธอจับมีดไปฆ่าสัตว์ สัตว์ก็จะบอกว่าเธอเป็นยักษ์มารใช่ไหม ? (ใช่)

        ฉะนั้นพี่ๆ ทั้งหลายจะต้องรู้จักหยุดการเข่นฆ่า รู้จักปล่อยชีวิตสัตว์ เพราะว่าหากพวกเธอฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แรงเคียดแค้นอาฆาตของสัตว์เหล่านั้น ก็จะยิ่งทำให้โลกนี้นับวันยิ่งไม่สงบสุข เพราะว่าแรงอาฆาตเคียดแค้นก็จะก่อเกิดเป็นภัยพิบัติสนองกลับมา ทว่าแรงแห่งความเคียดแค้นของคนก็จะก่อเกิดเป็นภัยพิบัติเช่นกัน

ฉะนั้นพวกเธอควรมาพุทธสถานศึกษาหลักธรรม ก็คือมาฝึกฝนเรียนรู้การปล่อยวางความเคียดแค้นอาฆาตในจิตตน นี่ก็คือการบ้านที่สำคัญที่สุดของชีวิตคน 


หากภายในใจของพวกเธอมีความเคียดแค้นอาฆาต ก็จะเกิดความไม่พอใจต่อเรื่องราวทุก ๆ อย่าง และจะรู้สึกไม่พอใจต่อคนทั้งหลาย คนๆ หนึ่งหากมีความไม่พอใจมากเกินไป ก็จะทำเรื่องที่ผิดทำนองคลองธรรม เพราะว่าในใจมีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง สิ่งที่มองเห็นล้วนไม่ดีไปเสียหมด ทั้งที่จริงแล้วเป็นหลักธรรมที่ดี แต่ก็กลับรู้สึกว่าเป็นมิจฉาธรรม เพราะไม่รู้จักสงบใจนิ่งลงฟังดู"





วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ขอแรงสัตว์ใหญ่ช่วยสัตว์เล็ก นิทานปล่อยสัตว์

นิทานปล่อยสัตว์ ขอแรงสัตว์ใหญ่ช่วยสัตว์เล็ก



        ในสมัยพุทธกาล ครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ได้ทรงเทศนาสั่งสอนถึงเรื่องกฎแห่งกรรมอย่างลึกซึ้ง นำพาให้ทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์ใหญ่น้อยหยุดเข่นฆ่า เลิกเบียดเบียนซึ่งกันและกัน พุทธบริษัททั้งหลายต่างหันมาอนุเคราะห์เกื่อกูลต่อเวไนยสัตว์ด้วยความมีเมตตา ดังมีเรื่องราวปรากฏจารึกไว้ในพระสูตรบทหนึ่งว่า...

ในกาลที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนีได้อุบัติแล้ว ณ ชมพูทวีป คราวนั้นบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งได้เดินทางไปพบเห็นแอ่งน้ำซึ่งกำลังจะเหือดแห้งเนื่องจากถูกแสงตะวันอันร้อนแรงแผดเผา ปู ปลา กุ้ง หอย นับหมื่นชีวิตดิ้นรนกระเสือกกระสนรอคอยความตายอย่างสิ้นหวัง

บัณฑิตหนุ่มผู้มีใจเปี่ยมด้วยเมตตารู้สึกเวทนายิ่งนักจึงรีบกลับไปขอยืมถุงบรรจุน้ำจากพ่อค้าในเมืองแล้วเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อกราบทูลขอยืมช้างจากพระองค์ ครั้นพระราชาผู้เป็นใหญ่ทรงทราบถึงกุศลเจตนานั้นแล้ว ก็มีพระทัยปลาบปลื้มปิติยินดียิ่งนัก พร้อมทั้งพระราชทานช้างจำนวน 20 เชือก แก่บัณฑิตหนุ่มนั้น ชาวเมืองที่เห็นขบวนช้างบรรทุกถุงน้ำผ่านมา พอทราบเรื่องก็มีใจออกติดตามไปด้วย ครั้นถึงยังจุดหมายจึงช่วยกันขนถุงน้ำเทลงในแอ่งจนเต็มเปี่ยม สรรพสัตว์นับพันนับหมื่นจึงได้ฟื้นคืนชีวิต บรรดาฝูงมัจฉา ปู กุ้ง หอย ฯลฯ ต่างแหวกว่ายในสายน้ำกันอย่างร่าเริง

ครั้นใกล้ตะวันเย็น ณ ริมแอ่งน้ำ ขณะนั้นเองเป็นเวลาที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาถึง บัณฑิตหนุ่มและสาธุชนพุทธบริษัทจึงพร้อมใจกันกราบอาราธนาทูลขอพระองค์ ให้แสดงพระธรรมเทศนาเพื่อยังศรัทธาปสาทาให้เกิดแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย

        สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงมีพระเมตตาแสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาถึงอานิสงส์แห่งเมตตาจิตโดยลึกซึ้งแยบยลยิ่ง เมื่อถึงที่สุดแห่งพระธรรมเทศนาแล้ว มหาชนทั้งหลายต่างก็บังเกิดความปิติอิ่มเอิบขึ้นในดวงใจไม่ได้ผิดแผกจากฝูงปลาซึ่งเข้ามาร่วมชุมนุมสดับฟังอยู่ด้วยอย่างใกล้ชิด “ ด้วยพลานุภาพแห่งสัจธรรมซึ่งองค์พระบรมศาสดาแสดงแล้วเป็นที่น่าอัศจรรย์ บรรดาวิญญูชนผู้มีจิตอันประณีตอ่อนโยนทั้งหลาย ก็บังเกิดความรู้แจ้งในหลักสัจจธรรม แม้เหล่าฝูงสัตว์ทั้งหลายที่ได้ยินพระธรรมอันแช่มชื่นนั้นแล้ว เมื่อหมดสิ้นอายุขัยก็ได้ไปเกิดอยู่ในสุคติภพโดยถ้วนหน้า”

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฝึกจิตเมตตา - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระนาจาไท้จื้อ เมตตา



พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระนาจาไท้จื้อ เมตตา

        "แม้เพื่อนจะว่าเป็นตัวประหลาดกินเจ เป็นคนแปลก ทำตัวไม่เหมือนคนอื่น แต่ถ้าเราทำได้ ย่อมเป็นเรื่องดี หรือเราเริ่มต้นไม่เบียดเบียนแม้กระทั่งสัตว์ ก็แปลว่าเราไม่ละเลยเรื่องเล็กน้อย

เราให้ความรักแม้กระทั่งสัตว์เล็ก เช่น มด แมลงสาบ แม้แต่เรื่องเล็กน้อย เรายังรักษาคุณธรรมได้ แล้วกับคน เขาก็ต้องคิดสิว่า ท่านจะทำเขาลงหรือ ในเมื่อแมลงสาบท่านยังไม่ขยี้ ยุงแม้จะกัดท่านเจ็บ ท่านยังไม่ตบ ก็แปลว่า แม้คนที่ทำให้ท่านเกลียด ท่านก็ยังไม่คิดที่จะฆ่าเขา ไม่คิดที่จะจองล้างจองผลาญเขา เป็นการฝึกจิตเมตตา

เรื่องเล็กๆน้อยๆ หากเราคิดให้ดี ก็มีคุณธรรมสอนใจ ถึงเขาจะคิดไม่ได้ แต่ขอให้ศิษย์น้องในที่นี้คิดได้ ศิษย์พี่ก็พอใจแล้ว"





วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อุดรอยรั่ว - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้ก เมตตา

"ถังที่ใช้อยู่ที่บ้านศิษย์เคยเห็นไหม แต่ถังใบนี้ก้นรั่ว จะใส่น้ำได้เต็มไหม กุศลเราก็เหมือนกับน้ำในถังใบนี้ ในเมื่อใส่ได้ไม่เต็มถัง จะมีเผื่อแผ่ไปให้กับคนอื่นได้ไหม ?...(ไม่มี ) เราจึงต้องมาอุดรอยรั่วอันนี้ก่อน

แล้วทำอย่างไรถังใบนี้จึงแตก... ประการแรก ถ้ายังทำความชั่วควบคู่กับความดีไปด้วย นั่นคือก็ยังใส่น้ำให้เต็มถังไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องอุดรอยรั่วนี้ก่อน

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ถังใบนี้รั่วก็คือ การที่เรานั้นทานเนื้อสัตว์อยู่...

การทานเนื้อสัตว์คือการเกี่ยวกรรมกับสัตว์ แม้ศิษย์สร้างกุศล แต่กุศลนั้นก็ต้องคืนให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วจะทำอย่างไรจึงจะอุดรอยรั่วนี้ได้ เราต้องรู้จักที่จะเบาบางลง จนกระทั่งเรานั้นไม่ทานเนื้อสัตว์ 

ไม่ใช่ให้เวลาตนเองจนไร้เขตจำกัด เราต้องมากำหนดตัวเองว่า เราจะเลิกทานเนื้อสัตว์ภายในเวลาเท่าไหร่ ต้องพยายามให้ได้

บางคนว่า...ค่อยเป็นค่อยไป แต่ไม่รู้ถึงปีไหน ค่อยเหลือเกิน ใช่หรือไม่...(ใช่ ) ค่อยหนึ่งปีก็แล้ว ค่อยสองปีก็แล้ว ค่อยสามปีก็แล้ว ยังเลิกไม่ได้อีก ใช่หรือเปล่า...( ใช่  )"





กรรมของคนชอบกิน - นิทานปล่อยสัตว์


นิทานปล่อยสัตว์ - กรรมของคนชอบกิน

         ในรัชสมัยของพระจักรพรรดิ เฉียน หลง ที่มณฑล เห่อ ไป๋ นายอำเภอคนหนึ่งได้สูญเสียลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาไปเนื่องจากอาการป่วยที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน อีกหลายปีต่อมา ระหว่างที่ภรรยาของนายอำเภอกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในเรือน นางก็ได้ฝันเห็นลูกสาวที่ตายไปแล้วถูกมัดมือมัดเท้ากำลังจะถูกฆ่า เธอร้องเรียกแม่ให้ช่วยจนสุดเสียง

ภรรยาของนายอำเภอสะดุ้งตกใจตื่นขึ้น มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่ได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ข้างๆ เรือ นางจึงสั่งให้คนออกไปดู สักครู่คนรับใช้ก็กลับเข้ามารายงานว่า “ลูกเรือลำที่อยู่ข้างๆ กำลังจะช่วยกันฆ่าหมู” ทันทีที่ภรรยาของนายอำเภอทราบเรื่องจึงรีบตามออกไปดูก็พบว่ามีชายสองคนกำลังช่วยกันจึบหมูตัวหนึ่งให้นอนลง เท้าหน้าและเท้าหลังของมันถูกมัดด้วยเชือกจนแน่น เสียงร้องของหมูที่กำลังจะถูกฆ่ามันช่างเสียดแทงหัวใจของนางเสียเหลือเกินทำให้นางหวลนึกถึงเรื่องความฝัน

ภรรยาของนายอำเภอรีบร้องตะโกนออกไป เพื่อให้คนแจวเรือหยุดการกระทำของพวกเขา แต่อนิจจามันช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีชายแจวเรือคนหนึ่งแทงมีดแหลมยาวอันคมกริบ ลงไปที่คอหมูตัวนั้นจนทิดด้าม หมูซึ่งถูกมัดดิ้นชักกระตุกๆ เลือดพุ่งกระฉูดขาดใจตายไปอย่างเจ็บปวดทรมาน ภรรยาของนาย อำเภอเห็นภาพที่น่าสยดสยองนั้นแล้วก็ถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงร้องไห้โฮ ทั้งนี้เพราะนางรู้ดีว่า ลูกสาวของนางที่ตายไปต้องไปเกิดเป็นหมูตัวนั้นอย่างแน่นอน ภรรยาของนายอำเภอเศร้าโศกเสียใจมากที่ช่วยอะไรไม่ได้เลยทำได้ก็แต่เพียงขอซื้อหมูที่ตายแล้วไปฝังเสีย

บรรดาคนรับใช้ในบ้าน พากันวิพากวิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นหญิงรับใช้คนหนึ่งได้พูดขึ้นว่า “คุณหนูบุตรสาวของนายอำเภออายุสั้นเหลือเกิน เพียงแค่อายุ 16 ปีก็เป็นไข้ตายจากไป แต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ พ่อแม่รักมากตามใจทุกอย่าง คุณหนูเธอชอบกินเนื้อไก่ที่สุด ถ้ามื้อไหนกับข้าวไม่มีเนื้อไก่ก็จะไม่ยอมกินข้าวเลย แต่ละปีฉันคิดดูแล้วต้องฆ่าไก่ให้เธอกินไม่น้อยกว่า 800 ตัวขึ้นไป”

พระพุทธองค์จึงทรงตรัสไว้ว่า “คนที่หมกมุ่นอยู่แต่ การฆ่า ตายไปแล้วต้องไปรับผลกรรม อยู่ในนรกภูมิอย่างทุกข์ทรมาน เมื่อพ้นโทษขึ้นมาแล้วก็ยังต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานต่างๆ และถูกเขาฆ่าตายจนนับไม่ถ้วน

ติดหนี้เลือด.....ใช้ด้วยเลือด 
ติดหนี้ชีวิต.......ใช้ด้วยชีวิต 
ร้อยชาติ พันชาติ ไม่หมดเวรสิ้นกรรมสักที”




..........................................................................................................................................................................................
อ้างอิงแหล่งที่มาบทความ

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ถือศีลกินเจ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อริยมหาราชเจ้ากวนอู


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เมตตา

กวนเซิ่งตี้จวิน (關聖帝君) อริยมหาราชเจ้ากวนอู หนึ่งในสี่จอมเทพวินัยธรในธรรมกาลยุคขาว


                                                     ใฝ่หาบุญวาสนา...ไม่มีวิธีใดดีกว่าการถือศีลกินเจ 
                                    ใฝ่หายาอายุวัฒนะ...ไม่มีวิธีใดดีกว่าการปลดปล่อยชีวิต ละเว้นการฆ่า 
                                    ใฝ่หาชีวิตปกติสุข...ไม่มีวิธีใดดีกว่าการหยุดกล่าวนินทาว่าร้าย 
                                    ใฝ่หาปัญญา...ไม่มีวิธีใดดีกว่าการศึกษาพากเพียร 
                                    ใฝ่หาวิถีธรรม...ไม่มีวิธีใดดีกว่าการแสวงหาวิสุทธิอาจารย์ 
                                                                                             
                                                                                                       เข้าใจไหม...





วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เรื่องหนี้กรรมไม่ใช่เป็นเรื่องล้อเล่น - พระโพธิสัตว์กวนอิม เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระโพธิสัตว์กวนอิม เมตตา

        "อดีตชาติสร้างเหตุใดไว้ ในปัจจุบันชาติจึงได้รับผลนั้น ความทุกข์ที่เราได้รับอยู่ในชาตินี้ เป็นเพราะอดีตชาติเราสร้างไว้ เรื่องหนี้กรรมไม่ใช่เป็นเรื่องล้อเล่น น่าสงสารเวไนย์นี้ไม่รู้ไม่เข้าใจ 

ตราบใดเวไนย์ยังไม่เข้าใจมีอาชีพฆ่าสัตว์ตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ถ่ายทอดมาสู่พ่อแม่ รุ่นพ่อแม่ถ่ายทอดมาสู่ตัวเรา สร้างหนี้กรรมด้วยการฆ่าสัตว์รุ่นแล้วรุ่นเล่าสืบต่อมา ได้ติดค้างหนี้กรรมนี้มากมายไร้ขอบเขต... แต่ละรุ่นต่างต้องมาเวียนว่ายรับทุกข์รับกรรม แต่ละรุ่นต่างมีอายุสั้นและยากจน มีชีวิตที่แร้นแค้นเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายกันอยู่เสมอ แต่ละรุ่นต่างต้องรับเคราะห์ที่ร่างกายไม่สมประกอบไม่แข็งแรง

ควรจะทราบการที่เราฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ไม่ขาดนั้นเราต้องรับทุกข์ รับความลำบากอย่างไร้ที่สิ้นสุดเช่นกัน ในอดีตเราไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงได้สร้างหนี้กรรมไว้มากมาย วันนี้เราได้เข้าใจธรรมะเหตุและผลแล้ว เราต้องสำนึกผิดทันที และบังเกิดจิตศรัทธาที่จะไม่ฆ่าสัตว์อีกต่อไป สำนึกความผิดอุทิศบุญกุศลไปให้เขาเหล่านั้น"






พระพุทธจี้กง แห่งหนันผิงซัน

พระพุทธจี้กง แห่งหนันผิงซัน 

พระพุทธจี้กง แห่งหนันผิงซัน

บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน

บาปอยู่ที่คนทำ กรรมอยู่ที่คนกิน


กฏธรรมดาเมื่อมีการกินเนื้อสัตว์ก็ต้องมีการฆ่าเพราะสัตว์ทุกตัวมีชีวิตเป็นๆ เมื่อจะกินจึงต้องถูกนำไปฆ่าก่อน กินโดยไม่ฆ่าหรือไม่ทำให้สัตว์ได้รับความทุกข์ทรมานนั้นไม่มีในโลกนี้ 

"กินเนื้อสัตว์คู่กับฆ่า" เป็นของคู่กันไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่า คนกิน และ คนฆ่า ย่อมมีความผิดเทียมกันเสมือนมือซ้ายกับมือขวาอยู่ในคนๆ เดียวกันนั่นแล

"บาปอยู่ที่คนทำการฆ่าสัตว์ ส่วนกรรมนั้นย่อมตกอยู่ที่คนกินเนื้อสัตว์"





วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ลิ่มจื้อ หมอดูไม่แม่น ? - ให้ทานชีวิต ต่ออายุยืนยาว พ้นเจ็บป่วย

ให้ทานชีวิต ต่ออายุยืนยาว พ้นเจ็บป่วย

อายุยืนยาวคือความปรารถนาของมนุษย์ทุกผู้นาม ...
แม้เงินทองจะสามารถซื้อประเทศทั้งประเทศได้ ...
แต่เงินนั้น ก็ไม่อาจซื้ออายุที่ยืนยาวได้ ...
ต่อให้ฐานะของเราสูงส่ง อำนาจ ท่วมท้นล้นฟ้า ...
ก็ยากที่จะเพิ่มเติมอายุขัยได้ ...
แล้วจะทำอย่างไร ให้มนุษย์นั้นมีอายุขัยและวาสนาที่ยืนยงยาวนานได้เล่า ? ...

ในพุทธคัมภีร์บทหนึ่งที่กล่าวถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการ ให้ทาน ๕ ชนิดว่า...
“ ให้ทานชีวิต ต่ออายุยืนยาว พ้นเจ็บป่วย ” ...
คำว่า “ให้ทานชีวิต” ในที่นี้ก็คือ ...
การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ปล่อยสัตว์ ปกป้องคุ้มครองสัตว์ ...

ในคัมภีร์ปี้อวี้จิงได้บันทึก เอาไว้ว่า...
มีเณรน้อยรูปหนึ่งได้ช่วยชีวิตของมด ...
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตนเองนั้นอายุยืน

แม้นปรารถนาอายุยืนยาว นอกจาก ช่วยเหลือผู้คนขจัดทุกข์บำรุงสุขแล้ว ยังต้อง ธำรงไว้ซึ่งเมตตาจิต ...
คือ การละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ...
เมื่อปลูกเหตุแห่งการรักษา คุ้มครองและไม่ละเมิดชีวิตผู้อื่นแล้ว
เช่นนี้ฟ้าย่อมให้ชีวิต ที่ยืนยาวเป็นผลตอบแทนแน่นอน....

คนที่ชาตินี้อายุสั้น ...
ส่วนใหญ่เป็นการตอบสนองที่ชาติก่อนได้สร้างกรรมฆ่าสัตว์ไว้มาก...
หากชาตินี้สามารถกลับตัว กลับใจใหม่ ...
มีจิตเมตตา ละเว้นการฆ่าสัตว์ ...
ปลดปล่อยสัตว์ ... และทำบุญสร้างกุศลอยู่เสมอ ...
คนที่อายุสั้นก็จะได้เพิ่มอายุขัย ...
คนขี้โรคก็จะแข็งแรง ...

เพราะว่าอายุขัยของมนุษย์จะสั้นหรือยาวนั้น ถูกกำหนดไว้แล้ว ...
ชาวโลกมิอาจล่วงรู้ ...
ทว่าอานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ ตามกฏสวรรค์ถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก...
อานิสงส์ข้อนี้สามารถช่วยเพิ่มอายุขัยได้ ...

ตั้งแต่อดีตมาผู้ที่มีอายุยืนเพราะการปล่อยสัตว์ช่วยชีวิตมีมากมาย...
ที่สำคัญควรจัดงานเทศกาลปล่อยสัตว์เป็นประจำ ...
ก็จะเป็นการสร้างกุศลผลบุญไม่น้อย ...
ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสามารถปฏิบัติข้อละเว้น “4 ไม่กิน” ได้ ...
ก็จะพ้นจากกรรมสนองข้อปาณาติบาต (พ้นเคราะห์กรรมในอดีต) ...
จะเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ....

(* 4 ไม่กิน - สัตว์ที่เลี้ยงเอง..ไม่กิน, เห็นกับตาว่าสัตว์นั้นถูกฆ่า..ไม่กิน, เจาะจงฆ่ามาเพื่อตน..ไม่กิน, รู้ว่าสัตว์นั้นถูกฆ่ามาขาย..ไม่กิน)

หมอดูไม่แม่น !

คำทำนาย... ไม่อาจเปลี่ยนลิขิตชะตา...
แต่ปล่อยสัตว์... เปลี่ยนชีวิตพลิกชะตาอย่างน่าอัศจรรย์...

โหราศาสตร์นั้นนับว่ายังไม่ละเอียดลึกซึ้งเท่าเรื่อง “ กฎแห่งกรรม ” ...
โหราศาสตร์อาจเป็นจริงได้เพียงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ...
ศาสตร์ แห่งการพยากรณ์นี้ในแถบเอเชียเป็นที่ขึ้นชื่อในความแม่นยำ ...
อย่างเช่นในประเทศจีน...
เวลาจะยกทัพเคลื่อนพลล้วนต้องใช้วิชา โหราศาสตร์ ...
ต้นตระกูลผู้คิดค้นวิชาโหราศาสตร์นี้มีนามว่า ลิ่มจื้อ ...

ลิ่มจื้อ เป็นเถ้าแก่ใหญ่ ...
อยู่ในมณฑลกวางเจาในสมัยเมื่อ ประมาณ ๖๐๐ ปีมาแล้ว ...
ลิ่มจื้อ เป็นผู้ค้นคว้าการตรวจดวงดาว เพื่อประกอบการทำนายแนวทางชีวิตของมนุษย์...

อยู่มาวันหนึ่ง ลิ่มจื้อ ดูลักษณะโหงวเฮ้งของชายหนุ่มคนหนึ่ง ...
ที่ทำงานเป็นลูกจ้างในร้าน ....
ลูกจ้างคนนี้เป็นคนรับผิดชอบในห้องสมุด
( ซึ่งในสมัยนั้นคนมีฐานะดีจึงอ่านหนังสือกัน )...
เมื่อตรวจลักษณะโหงวเฮ้งตามชะตาราศรีแล้ว ....
เห็นว่าชาย หนุ่มคนนี้อีก 15 วันจะต้องตาย ...



ลิ่มจื้อ จึงเอาเงินก้อนหนึ่งมอบ ให้และบอกว่า ...
“ ข้าอนุญาติให้เจ้าหยุดงานกลับไปเยี่ยมบ้าน 15 วัน
เงินก้อนนี้ข้ามอบให้เจ้าไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น ”...



ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ...
ชายหนุ่มบังเอิญเห็นปลาตัวหนึ่ง กระเสือกกระสนอยู่ในบึงน้ำแห้ง ...
กำลังใกล้จะตาย ...
เขาจึง ช่วยชีวิตปลาตัวนั้นนำไปปล่อยในบึงน้ำให้รอดตาย...




จากนั้นเขาได้เดินทางต่อไป ...
ในระหว่างทางชายหนุ่มได้ ยินเสียงร้องของแมวที่กำลังจมน้ำ ...
เขาก็ได้ช่วยชีวิตแมวตัวนั้น ขึ้นมาจนปลอดภัย...




ครั้นเดินทางมาได้ครึ่งค่อนวัน ...
เกิดฝนฟ้าคะนองพายุโหมกระหน่ำ ...
จึงตัดสินใจแวะพักที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง...
เมื่อย่างเท้าผ่านประตูหน้าเข้าไป ได้เห็นหญิงชราคนหนึ่ง กำลังยืนร้องไห้ ...
ชายหนุ่มจึงเข้าไปถาม หญิงชราคร่ำครวญให้ฟัง ว่า ...
“ วันนี้ข้ามาไหว้พระ ไม่น่าสะเพร่าเลย ข้าทำตะเกียงหล่นแตก แต่ข้าไม่มีเงินจะซื้อมาชดใช้ ข้าจนใจไม่รู้จะหามาใช้คืนได้อย่างไร ” หญิงชราตอบ...

เมื่อชายหนุ่มได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกเห็นใจ ...คิดที่จะช่วยเหลือ ...
จึงบอกกับหญิงชราว่า ...
“ ท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ข้าพอจะมีเงิน ติดตัวมาบ้าง คงพอที่จะซื้อตะเกียงมาชดใช้แทนท่านได้ ”...

เมื่อฝนหยุด ชายหนุ่มก็ออกจากศาลเจ้าเข้าไปในเมือง
หาซื้อตะเกียงมาชดใช้แทนหญิงชรา แล้วก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้าน
เมื่อกลับมาถึงบ้านก็บอกกับมารดาว่า
“ เถ้าแก่นึกใจดีให้หยุดงาน กลับมาเยี่ยมบ้าน ”

เขาพักอยู่ที่บ้านจนครบกำหนด 15 วัน ...
จึงได้ลากลับไปทำงานตามกำหนด...

เมื่อชายหนุ่มลูกจ้างเดินทางกลับมา ...
ลิ่มจื้อถึงกับ ตกตะลึง เพราะประหลาดใจ !...
ไม่เชื่อสายตัวเองเมื่อเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามานึกว่า ผีหลอก !....




ลิ่มจื้อ จึงเดินเข้าไปลองจับดูที่ตัวแล้วรำพึงขึ้นว่า...
“ นี่เจ้ายังไม่ตายใช่ไหม ตาข้าคงไม่ฝาดน่ะ ! ”...

เมื่อ ลิ่มจื้อ แน่ใจว่ายังมีชีวิตอยู่ตัวเป็นๆ ...
จึงได้เอ่ยปากซัก ถามชายหนุ่มต่อไปว่า
“ ขณะที่เจ้ากลับไปบ้านนั้น ไหน! เล่าให้ข้าฟังสิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง ”...
“ ข้ากลับไปถึงบ้านอย่างปลอดภัย ขอบคุณท่านเศรษฐี ที่เมตตา...”

ชายหนุ่มจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างเดินทาง กลับบ้านให้เศรษฐีฟัง ...
เศรษฐีจึงจับใจความได้ว่าเพราะเหตุที่เขา ...
ได้ช่วยเหลือชีวิตปลา ...
ชีวิตแมว ...
และช่วยออกเงินซื้อตะเกียง เป็นธุระให้หญิงชราผู้นั้น ...
มิน่าเล่าจึงรอดชีวิตมาได้...

ลิ้มจื้อ จึงกล่าวด้วยความสลดใจว่า...

“ ดวงดาวไม่เที่ยงหนอ การพยากรณ์เชื่อได้แค่บางส่วน ไยข้าต้องฝังใจกับการคาดคะเน ซึ่งหาแน่นอนอะไรไม่ ”...


อานิสงส์ของการปล่อยสัตว์ - พึงถือศีลกินเจ ละกรรมปาก 

วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นิทานปล่อยสัตว์ ตอน สละเนื้อช่วยนก


นิทานปล่อยสัตว์ ตอน สละเนื้อช่วยนก

        ในกาลก่อน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่บำเพ็ญโพธิสัตว์ธรรม ยังมิได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันหนึ่งได้ทรงทอดพระเนตรเห็นเหยี่ยวตัวใหญ่ที่ผอมโซ กำลังบินไล่จิกนกตัวเล็ก ๆ หมายจะกินเป็นอาหารวิหคน้อยหวาดกลัวเป็นอันมาก พยายามบินหนีเพื่อเอาชีวิตรอดจนสุดกำลัง ครั้นได้แลเห็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่ไม่ไกลนกน้อยตัวนั้นจึงโผบินลงสู่หน้าอกของพระโพธิสัตว์ทันที พญาเหยี่ยวไม่กล้าติดตามเข้าไปใกล้ ได้แต่เฝ้าบินวนอยู่ไม่ไปไหน

เมื่อเป็นดังนี้พญาเหยี่ยวผู้หิวโหยจึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า “ "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้า! พระองค์อยากช่วยนกตัวเล็ก ๆ และจะปล่อยให้ข้าพระองค์อดตายหรืออย่างไร”"

พระมหาโพธิสัตว์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ทรงยิ้มแล้วตรัสแก่พญานกว่า “ "ท่านประสงค์จะกินสิ่งใด เพื่อคลายหิวเล่า"

พญาเหยี่ยวได้ทูลตอบทันทีว่า “ "ข้าฯ พระองค์ อยากกินเนื้อเป็นอาหาร”"

พระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า “ "ถ้าเช่นนั้นเรายินดีมอบเนื้อของเรา ให้เป็นอาหารแก่ท่านแทนนกน้อยตัวนี้”"

ขณะที่พระมหาโพธิสัตว์กำลังจะตัดเนื้อที่แขนของพระองค์พญาเหยี่ยวก็พูดขึ้นว่า “ ช้าก่อน...หากพระองค์ประสงค์จะแลกเอาชีวิตนกน้อยด้วยเนื้อของพระองค์เองแล้วละก็ พระองค์จะต้องตัดเอาเนื้อออกมาให้ได้เท่ากับเนื้อของเจ้านกตัวนั้น”

โดยมิได้รั้งรอแต่ประการใด พระโพธิสัตว์ผู้ทรงพระกรุณาธิคุณจึงใช้มีดเฉือนเอาเนื้อที่ต้นแขนออกมามอบให้พญาเหยี่ยวทันที พญาเหยี่ยวเมื่อได้รับเอาก้อนเนื้ออันองค์พระบรมโพธิสัตว์ทรงยื่นให้แล้ว ก็กล่าวบ่ายเบี่ยงว่า “ เบาไป” ครั้นพระโพธิสัคว์ทรงเฉือนเนื้อก้อนใหม่ให้อีกก็ติว่า “หนักไป” เป็นดังนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า อนิจจา...พระโพธิสัตว์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยเมตตาจิต พระองค์ยิ่งเฉือนเนื้อไปเท่าไรก้อนเนื้อก็ยิ่งเบา เป็นเช่นนี้จนกระทั่งเนื้อถูกตัดออกไปจนหมดแขนก็ยังไม่สามารถตัดเนื้อออกมาให้ได้เท่ากับเนื้อของนกน้อยนั้นสักที

พญาเหยี่ยวจึงเอ่ยถามพระโพธิสัตว์ว่า “ถึงบัดนี้แล้ว พระองค์ทรงเสียพระทัยแล้วหรือยัง” พระบรมโพธิสัตว์ผู้มีพระทัยอันมั่นคงมิหวั่นไหว จึงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันหนักแน่นว่า “เพื่อรักษาชีวิตของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย เราไม่เสียใจเลยแม้แต่นิดเดียว หากแม้นว่าเรากล่าวด้วยคำสัตย์จริงขอเนื้อที่ขาดหายไปจงงอกขึ้นมาใหม่ เพื่อเราจะได้ตัดออกเป็นกุศลทานอีก”

ครั้นสิ้นสุดอธิษฐานวาจา ด้วยพลานุภาพแห่งสัจจะบารมีอันพระบรมโพธิสัตว์ทรงตั้งพระทัย จะบำเพ็ญมหาเมตตาบารมีทานให้สำเร็จ แขนของพระองค์ก็ปรากฏเนื้อเพิ่มพูนบริบูรณ์ดีขึ้นดังเดิม พญาเหยี่ยวได้เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง และแล้วพญาเหยี่ยวผู้มีกายอันซูบผอมก็พลันกลับกลายร่างปรากฏเป็นพระวิสุทธิเทพผู้มีรัศมีเรืองรองสง่างาม พร้อมกับกล่าวอนุโมทนากถาขึ้นด้วยความปิติยินดีว่า "“สิ่งที่คนทั้งหลายไม่อาจทนได้ พระองค์สามารถทนได้ในสิ่งนั้น สิ่งที่ไม่มีผู้ใดจักกระทำได้ พระมหาโพธิสัตว์ผู้จะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กระทำแล้ว ช่างหาได้ยากยิ่ง ยากยิ่งจริง ๆ”"





วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย - ปริศนากลอนคู่

ปริศนากลอนคู่ "หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"



เพื่อชีวิตคนทั้งหลาย

   หนึ่งมื้อกินเจ คนที่กินเจวันละ "หนึ่งมื้อ" ก็สามารถบรรเทาโรคภัย หลีกเลี่ยงบาปเคราะห์ และคนที่ "มื้อหนึ่ง" กินแต่อาหารเจ จะส่งผลให้บุคคลนั้นมีสุขภาพแข็งแรง พลานามัยดีอายุยืนยาว สามารถตัดหนี้สินเวรกรรมไปได้

   หมื่นชีวตรอดตาย หากคนแต่ละคนๆ คิดที่จะกินเจให้ได้เพียงวันละ "หนึ่งมื้อ" คนจำนวนนับหมื่น นับล้านในโลกก็จะรอดตาย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานล้มตายไป เพราะโรคภัยร้ายแรงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

เพื่อสัตว์ทั้งหลาย

    หนึ่งมื้อกินเจ คนที่กินเจ "หนึ่งมื้อ" ก็เท่ากับปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายได้อย่างน้อยๆก็ ๑ ชีวิต และถ้าหากกินเจทุกๆวัน วันละหนึ่งมื้อไปตลอด สัตว์ก็จะรอดตายเป็นหมื่นๆชีวิต

   หมื่นชีวิตรอดตาย ในชั่วชีวิตของคนที่กินเนื้อเพียงคนเดียวสัตว์จำนวนมากมายนับหมื่นนับแสนชีวิต ต้องถูกฆ่าตายเพื่อเอามาเป็นอาหาร ฉะนั้น คนที่กินเจตลอดชีวิตเพียงคนเดียวก็จะสามารถช่วยให้ชีวิตสัตว์นับหมื่นนับแสนชีวิตเหล่านั้นไม่ต้องตาย เพราะถูกกินได้เช่นกัน

คำว่า "หมื่น" ในภาษาจีน มักใช้ในความหมายว่า "มากมายมหาศาล ไม่อาจนับจำนวนได้" ถ้าคนทั่วโลกงดกินเนื้อสัตว์ สักหนึ่งมื้อ เพียงวันเดียวเท่านั้น สัตว์เป็นจำนวนมากมายมหาศาล ก็จะไม่ถูกฆ่าตาย

ลองคิดดูเถิดว่า หากมีคนที่กินเจตลอดชีวิตสักหมื่นคนสัตว์จำนวนเป็นล้านๆ ตัว ก็จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

เป็นเช่นนี้ได้ ธรรมชาติก็จะคงความสมดุล โลกย่อมจะเกิดความร่มเย็น ทุกชีวิตก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบและสันติสุข

ทุกอย่างจะเป็นจริง ก็โดยเริ่มที่คนแต่ละคน...

"หมื่น" ก็ต้องเริ่มจาก "หนึ่ง"

เพียง "หนึ่งมื้อ" คนกินเจก็สามารถรอดตายจากโรคภัยและบาปเคราะห์ได้เป็น "หมื่นๆ คน" 

เพียง "หนึ่งมื้อ" สัตว์ก็ไม่ต้องตายเพราะถูกกิน เป็น..."หมื่นๆ ชีวิต" เช่นกัน 

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ปล่อยสัตว์ทางปาก มหากุศลยิ่งใหญ่ - พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม เมตตา



พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระโพธิสัตว์กวนอิม เมตตา

ปล่อยสัตว์ทางปาก มหากุศลยิ่งใหญ่

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม...

     "ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาผู้คนในโลกนี้ชอบกินเนื้อผู้อ่อนแอกว่า คนชอบแก่งแย่งกัน สัตว์เดรัจฉานก็เช่นเดียวกัน เนื่องจากคนไม่ยอมปล่อยสัตว์ กินเลือดกินเนื้อสัตว์เพื่อดำรงชีวิต ดังนั้นนิสัยคนและสัตว์จึงผสมกัน เลือดลมของคนและสัตว์ไม่อาจเข้ากันได้ จึงเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ

ดังนั้น คนที่กินเนื้อสัตว์ สัญชาติของคนและสัตว์จึงปะปนกัน ไปทำลายจิตใจจนคนไม่เหมือนเก่า จึงพบหน้าคนใจสัตว์เต็มไปหมด จะเห็นได้จากคนที่เจริญแล้วในสังคม แต่กระทำในสิ่งที่ป่าเถื่อน บาปกรรมสร้างสมกันมา คนก็เริ่มเบียดเบียนถิ่นที่อยู่ของสัตว์ ทำอันตรายต่อชีวิต

ดังนั้น คนจึงลดฐานะลงจนจิตใจอยู่ในระดับเดียวกับพวกสัตว์ ยังความห่างไกลจากหนทางสู่ความสำเร็จของพุทธะ หากต้องการกลับไปสู่หนทางของพระอริยะเจ้าก็ต้อง ถือศีลกินเจ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ เพื่อชำระจิตใจให้ใสสะอาด และยังต้องช่วยเหลือให้สัตว์เหล่านั้นให้สำเร็จธรรมด้วย หากกระทำเช่นนี้ได้ แน่นอนทีเดียวเราก็ใกล้สำเร็จความเป็นพระพุทธะได้เช่นกัน

ข้อ ๑ งดการฆ่า
     สัตว์มีวิญญาณ มีเลือดเนื้อน้ำตา มีเจ็บปวดทรมานและจิตใจ โดยใช้จิตเมตตาธรรมและความกรุณาจึงทนดูการฆ่าไม่ได้ ปราชญ์เมิ่งจื้อกล่าวว่า... "สุภาพชนต้องอยู่ห่างครัวไฟ" นั่นคือไม่อยากให้มีการฆ่า ไม่อยากเห็นการฆ่า มนุษย์ที่มีจิตรักสัตว์ ระหว่างคนด้วยกันจะไม่มีการต่อสู้ฆ่าฟันกัน ฉะนั้น การงดเว้นการฆ่าสัตว์จึงเป็นพื้นฐานหล่อเลี้ยงจิตใจคนให้เกิดความเมตตากรุณา

ข้อ ๒ งดการกิน
     เมื่อไม่ฆ่าแล้วก็ต้องไม่กิน เนื่องจากไม่กินเป็นผลให้คนฆ่าน้อยลงหรือเลิกฆ่า พวกพืชผักมีคุณค่าเพียงพอสำหรับมนุษย์และไม่มีอันตราย เนื่องจากพวกสัตว์ไม่มีการชำระร่างกาย พวกเชื้อโรคจึงเข้าอาศัยอยู่ได้ง่าย คนที่กินเนื้อก็จะได้รับเชื้อโรคทำให้เกิดโรคร้ายเนื้องอก มะเร็งต่างๆ ได้สารพัด แพทย์ก็จนปัญญาที่จะรักษา ในที่สุดก็ต้องทิ้งสังขารนี้ไป ยิ่งไปกว่านั้น คนที่กินเนื้อก็มักจะได้รับการก่อกวนจากวิญญาณสัตว์ ทำให้จิตของคนทุกวันนี้ไม่ปกติสุข ซึ่งทำให้โรคภัยไข้เจ็บทวีขึ้น จึงอยากให้ชาวโลกเลิกทานเนื้อสัตว์ หันมากินพืชผักธรรมชาติ ถึงแม้อยู่ในทำเลที่ไม่สะดวก การกินอาจจะขัดสนแต่จิตใจก็ไม่หลอกลวงทุจริตและปล้นจี้เกิดขึ้นแล

ข้อ ๓ ปล่อยสัตว์
เมื่อสามารถงดเว้นการฆ่าสัตว์แล้ว งดการกินเนื้อสัตว์ได้แล้วแต่ก็ยังไม่พอ เพราะยังสัตว์พวกนก ปลาและเต่า ที่ยังถูกฆ่าอีกจำนวนมากมาย เพื่อให้จิตเกิดความเมตตาควรซื้อหาสัตว์มาปล่อยให้มันมีชีวิตอย่างอิสระ เป็นการช่วยเหลือให้พ้นจากการถูกคุมขัง รอดจากการสังหารสัตว์เหล่านี้จะระลึกถึงบุญคุณโดยไม่อาจบรรยาย

การที่พวกมันต้องไปเกิดเป็นสัตว์นั้นก็ล้วนมีสาเหตุเกิดจากทำบาปหนักตั้งแต่ชาติก่อน โดยเฉพาะละเมิดศีลข้อหนึ่งคือเว้นจากการเบียดเบียนเข่นฆ่าสัตว์ ควรได้รับโทษประหาร แต่ผู้ที่มีจิตเมตตาควรอโหสิกรรมให้พวกมันเสีย นับประสาอะไรที่มันก็ไม่ได้ทำอันตรายเราและไม่มีความสามารถด้วย

งดฆ่าสัตว์ งดกินเนื้อสัตว์ แต่ให้ปล่อยสัตว์ ทั้งหมดที่กล่าวนี้เป็นแบบฝึกฝนสำหรับผู้บำเพ็ญเพียร เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ชำระวิญญาณให้ใสสะอาด

วิธีช่วยให้สัตว์เดรัจฉานได้ฝึกฝนธรรมะนั้นคือ "ช่วยกันพิมพ์หนังสือธรรมะเผยแพร่" ทำให้คนมีความเข้าใจและเห็นอกเห็นใจสัตว์ ยังสามารถรู้ถึงความรู้สึกในใจของสัตว์อีกด้วย เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสสร้างความดีเพื่อลบล้างความผิด แท้จริงสัตว์ก็คือคนเวียนมาเกิดนั่นเอง เขามีสิทธิที่จะมีชีวิตดำรงอยู่ในโลกเช่นเดียวกับเรา

ด้วยเหตุนี้ จึงจะระงับอารมณ์ความโหดร้ายทารุณลงได้ เพื่อให้โลกมนุษย์นี้กลับกลายเป็นสุขาวดีแดนพุทธเกษตร มนุษย์และสัตว์อยู่กันอย่างสันติสุข เพื่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดความร่มเย็นกันถ้วนหน้า เป็นแดนบริสุทธิ์ในโลกมนุษย์เท่ากับสมความตั้งใจของโพธิสัตว์ที่จะโปรดสรรพสัตว์ให้หมดโลกก่อนเข้าสู่พระนิพพาน"






จิตใจดีก็ดีพอแล้ว ทำไมต้องถือศีลกินเจ ? - พระโอวาทพระพุทธจี้กง เมตตา



พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา

        "ศิษย์ทุกคนลักษณะการเกิดของสิ่งมีชีวิตมีอยู่สี่แบบ เกิดจากครรภ์ เกิดจากไข่ เกิดในที่ชื้นแฉะ และเกิดผุดขึ้นเอง ชีวิตคือธรรมญาณ ให้ความสำคัญกับชีวิตจึงต้องคุ้มครองรักษา จึงต้องทะนุถนอมชีวิต ยิ่งต้องคุ้มครองรักษาทะนุถนอมธรรมญาณ อย่าทำร้ายสิ่งมีชีวิต เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานถูกทำโทษโดยวิธีต่างๆ ให้มีขน มีเขา ดังนั้น จึงไม่ควรกินเขา ไปลงโทษเขาซ้ำเติม ถูกกินเป็นๆ ถลกหนังเป็นๆ ทำต้มทำแกงด้วยวิธีทรมานต่างๆ ไม่ว่าคนหรือสัตว์เดรัจฉาน ล้วนต่างมีธรรมญาณเดียวกัน ล้วนต่างมีพุทธจิต แม้ตัวหนอนก็มีพุทธจิต

       จากจุดยืนของศิษย์ประเมินด้วยสายตาและท่าทาง อาจจะมองว่าคนกับสัตว์ช่างแตกต่างกันเหลือเกิน คนมีความคิด คนมีวิจารณญาณตรึกตรอง คนศรีษะชี้ฟ้าเหยียบดิน ดังนั้น...มองด้วยสายตาทั่วไปย่อมคิดว่าคนกับสัตว์แตกต่างกัน  แต่ถ้าหากมองด้วยสายตาพระพุทธะ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเดรัจฉานต่างมีชีวิต ล้วนมีจิตญาณ ธรรมญาณของสัตว์ปีก สัตว์เดินเท้ากับธรรมญาณของคนเหมือนกัน ไม่มีความผิดแผกแตกต่าง เขาเหล่านั้นเวียนว่าย เป็นเดรัจฉานมีขนเต็มตัว หัวมีเขา มีเล็บแหลมคมเป็นปลาก็มีครีบ ถูกลงโทษให้มีเกล็ด แต่ธรรมญาณของเขากับคนยังเหมือนกัน

       สัตว์แต่ละชนิดรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน เปรียบเหมือนแม่หนึ่งคนมีลูกหลายคน ลูกๆ ต่างมีหน้าตาไม่เหมือนกัน คนกินสัตว์ สัตว์กับสัตว์ต่างกินกัน เหมือนลูกๆเหล่านี้ต่างลืมไปและไม่รู้ว่าเขาต่างเกิดมาจากต้นรากเดียวกัน กลับต้องมากินกันและกัน เนื้อเราเนื้อเวไนย นามขานต่างกันแต่ต่างมีกาย ต่างมีญาณเดียวกัน ต่างกันแต่ร่าง

       คำกล่าวที่ว่า "จิตใจดีก็ดีแล้ว ทำไมต้องถือศีลกินเจ คนเหล่านี้ทำบาปกรรมไว้จึงได้หันมาถือศีลกินเจ" พูดอย่างนี้ถูกต้องไหม ก็พูดได้ไม่ผิด แต่ถูกครึ่งเดียว เพราะว่าอดีตชาติของศิษย์ได้ทำบาปกรรมไว้ คนจึงพูดกันว่าจะต้องรีบถือศีลกินเจ จิตใจดีก็ดีแล้ว ทำไมต้องถือศีลกินเจ

      เรามาดูกัน ที่อาจารย์จะพูดต่อไปนี้ ศิษย์คงได้เห็นตามโทรทัศน์ หรืออาจเคยเห็นด้วยตาตนเอง ลองมาดูสิว่า วิธีการกระทำไหนบ้างที่เรียกว่าใจดี ขณะสัตว์ถูกจับไปฆ่าเป็นๆ ทำลายชีวิต ชำแหละร่าง แทะกินกระดูก กินเลือดกินเนื้อเขา อย่างนี้เรียกว่าใจดีไหม คนที่กินเนื้อเขา มักจะพูดปัดความรับผิดชอบ ผลักกรรมไปให้คนฆ่า ไปให้โรงฆ่าสัตว์

"เขาไม่ขาย เราไม่ซื้อ เขาไม่ฆ่า เราไม่กิน เขาฆ่าเรากิน เขาขายเราซื้อ"

แต่คนที่ฆ่าเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาจะปัดความรับผิดชอบผลักกรรมนั้นไปให้คนกิน ดังนั้นขณะที่ทำการฆ่าเป็ด ไก่ วัว แพะ ปากก็มักจะพึมพำกับไก่บ้าง กับหมูบ้าง ว่า...

"หมูนะหมู เจ้าอย่าถือโทษเรา เจ้าเป็นอาหารให้กับคนกิน ถ้าเขาไม่กินเราก็ไม่ฆ่า เจ้าจงไปทวงหนี้กับคนกิน" 

     ดู... นี่เพราะใจฝ่ายดีนั้นหวาดกลัว ต่างปัดโทษของตัวเองแต่ด้วยเหตุต้นผลกรรมนั้น กล่าวได้ว่า ไม่มีใครสามารถหลบเลี่ยงความผิดได้ บาปกรรมนี้เกิดจากการฆ่าและการกิน ก่อให้เกิดกรรมร่วมขึ้น ต่างแบกรับกันทั้งสองฝ่าย

     ดังนั้น เดรัจฉานกับคนต่างมีเลือด มีเนื้อ มีน้ำตาเหมือนกัน ล้วนมีเลือดเนื้อกายสังขาร เพราะว่ามีความอยากกิน มีกระบวนการซื้อขาย ดังนั้นจึงมีคนทำฟาร์มเลี้ยงสัตว์เพื่อการค้า นี่คือยืมมีดฆ่าทางอ้อม

     ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าโดยตรง หรือฆ่าทางอ้อม ต่างได้สร้างกรรมในการฆ่า เมื่อบาปกรรมสนองจึงมีคนบนบานขอบุญวาสานา ทำการฆ่ามากเกินไป วอนขอให้โชคดีคงยาก คนที่กินเนื้อมากเกินไปสนองร้ายแรงหน่อย ครอบครัวจะไม่สงบสุข ร่างกายไม่แข็งแรงลูกหลานไม่กตัญญู กิจการงานไม่ราบรื่น สิ่งที่ต้องการมักไม่ได้อย่างใจหวัง
   
ในศูรางคมสูตร กล่าวไว้ว่า "คนกินเนื้อสัตว์ บุญวาสนาที่ขอจะไม่ได้ดังหวัง คนที่กินเนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะสร้างบุญหรือขอวาสนา ต่างล้วนไม่ได้ดังขอ คนที่กินเนื้อสัตว์ บำเพ็ญธรรมจะมีอุปสรรคยิ่ง"

ในลังกาวตารสูตร กล่าวไว้ว่า "เลือดเนื้อที่กล่าว พุทธอริยะต่างงดเว้น คนที่กินเนื้อ พุทธอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะห่างไกล ปากมีกลิ่นคาวเลือดคาวเนื้อ เนื้อมิใช่เป็นสิ่งน่ากินเนื้อไม่สะอาดบริสุทธิ์ ก่อเกิดบาปเวรทำลายบุญวาสนา เป็นสิ่งที่พุทธอริยะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทอดทิ้ง"

ในศูรางคมสูตร กล่าวไว้ว่า "คนกินเนื้อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ห่างไกล เวไนยหวาดกลัว คนกินเนื้อโดยเฉพาะคนทำการฆ่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์พุทธะล้วนออกห่าง เวไนยที่มีรูปลักษณ์ไม่มีรูปลักษณ์ เห็นแล้วต่างหวาดกลัว ดังนั้นคนที่กินเนื้อ คนที่ฆ่า จะไม่ได้รับการคุ้มครองจากพญานาคทั้งแปด จะไม่ได้ญาณที่ดี ไม่ได้รับการคุ้มครองช่วยเหลือในการบำเพ็ญญาณ  คนที่กินเนื้อ ตายแล้วตกสู่ช่องทางชั่วร้าย ที่ว่าช่องทางชั่วร้ายคือ นรก เดรัจฉาน เปรต รับทุกข์ไม่จบสิ้น"
(*พญานาคทั้งแปด ๑.นันทนาคราช ๒.อุปนันทนาคราช ๓.สาครนาคราช ๔.วาสุกินาคราช ๕.ตักษกนาคราช ๖.อนวตัปตนาคราช ๗.มนัสวีนาคราช ๘.อุตปลกนาคราช)
        
       ศิษย์ทุกคน น้ำทะเลที่ว่าเยอะ พอถึงเวลาขึ้นก็เอ่อขึ้นเต็มที่ มีเวลาขึ้น มีเวลาลง แต่ปากที่อยู่ใต้จมูก ไม่มีพื้นที่สิ้นสุด ไม่มีวันที่จะถมเต็มได้ มักกล่าวกันว่า "เนื้อ ปลา หอมหวาน เอร็ดอร่อย" นั่นเป็นเพียงเวทนาสัมผัสจากลิ้นสั้นๆ ไม่กี่นิ้ว รับรู้ลิ้มรสความสุขแลความพอใจ หลังจากกลืนลงไป แล้วก็ไม่มีความรู้สึกใดอีก แต่กลับเพิ่มเหตุต้นผลกรรมขึ้นมา

       ผลร้ายจากการโลภอยากกินเพื่อปากท้อง ก่อหนี้กรรมดั่งภูเขา กรรมเก่ายังไม่หมดกลับสร้างกรรมใหม่อีก กลืนกินทุกชาติกรรมสนองกรรม ดังนั้นหนี้สินเวรกรรมตามทวงกันไม่ทราบเมื่อไหร่จึงจะจบสิ้น มักกล่าวกันว่า ปลูกเหตุอะไรไว้มักได้ผลตามที่ปลูก ปลูกเหตุจากการฆ่าย่อมได้ผลคือถูกฆ่า ชาตินี้กินเนื้อเวไนย ก่อเหตุเลวร้ายชาติต่อไปเป็นเนื้อบนเขียงให้เขาสับ ให้เขาฆ่า เชือดเฉือนตามอำเภอใจ ไม่มีทางหลีกหนีได้

      ในปัจจุบัน ประเทศต่อประเทศต่างแก่งแย่งกัน ซุ่มสร้างอาวุธสงคราม ก่อกรรมทำเข็ญ แข่งขันกันสร้างเครื่องมือประหัตประหาร โลกทั้งโลกตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งการฆ่า อันตรายรอบด้าน มีความรู้สึกไม่ปลอดภัย มีความรู้สึกไม่สงบสุข นี่เพราะเหตุใด นี่เพราะ...หลายกัปผ่านมา เวไนยได้ฆ่าและกินเนื้อสั่งสมกรรมมากมาย ทำกรรมจากการฆ่า กรรมสนองกรรม

      ปัจจุบันเกิดภัยพิบัติต่อเนื่อง เกิดเหตุวุ่นวายไม่เป็นสุข ไม่ใช่ลมพายุวาตภัยก็เป็นภัยแล้ง ไม่ใช่แผ่นดินไหวก็เกิดแมลงทำลายพืชผล รวมทั้งสงครามเกิดขึ้นทุกหัวระแหง ที่นี่หยุดที่นั่นเกิด ทั้งสงครามกองโจร สงครามศาสนา (ไปยาลใหญ่) ทั้งหมดนี่เพราะเวไนยไม่รู้จักถนอมรักษาชีวิต ถนอมรักษ์ชีวิตของตนเอง ถนอมรักษ์ชีวิตของผู้อื่น ถนอมรักษ์ชีวิตของเวไนย

     เมื่อไม่ถนอมจึงเกิดการตีกัน ฆ่ากัน ทั้งหมดเพราะเวไนยไม่ใช้จิตเมตตาเป็นที่ตั้ง ไม่ใช้จิตเมตตาปฏิบัติต่อผู้อื่น ดังนั้น จึงเกิดภัยพิบัติขึ้น เกิดเคราะห์ร้าย สรุปทั้งหมดคือขาดความเมตตา ไม่มีคุณธรรม วันนี้คนที่ถือศีลกินเจ อยู่ในระหว่างฟูมฟักปลูกฝังคุณธรรม เมตตาธรรม เกิดจิตดีงาม

ท่านเอวี๋ยนอวิ๋นฉันซือ มีโศลกที่ห้ามกินเนื้อสัตว์ว่า...
ร้อยพันปี กินเลือดเนื้อ ในชามแกง
แค้นรุนแรง ดั่งทะเล ยากสงบ
ภัยสงคราม โลกนี้ ไยพานพบ
ยามค่ำพลบ ยินเสียงร้อง ก้องโรงฆ่า

     เพราะว่าโลกนี้มีสิ่งต่างๆ ที่ไม่สะอาดหมดจด มีการฆ่า ลักขโมย ผิดศีลกาเม โกหกหลอกลวง ดื่มสุรา จึงเกิดภัยสงคราม วาตภัย ภัยแล้ง โรคระบาดร้ายแรง ฯลฯ เกิดความทุกข์ยากลำบากให้เวไนยต้องรับผล เหมือนกับเกิดไม่รู้จักจบจักสิ้น

     ศิษย์ทุกคนจะต้องรู้ สถานที่ที่ทำการฆ่ามาก กินเนื้อสัตว์มาก วิญญาณที่ถูกฆ่าโดยไม่มีความผิด รวมกันโดยไม่สลาย นี่คือ "กรรมร่วม" ขณะที่กรรมร่วมเกาะกันแน่น โอกาสเหมาะ ถึงวาระปะทุขึ้น จึงก่อเกิดภัยพิบัติเนืองๆ ดังนั้น ภัยพิบัติความทุกข์ยากของเวไนย ยากหลีกเลี่ยงเพราะว่าเวไนยล้วนก่อกรรมร่วม ยังมีโทษทัณฑ์ของตนเอง ความผิดพลาดมากมาย ฯลฯ

     เหตุต้นผลกรรมของบาปเวร  ยังพอมีวิธีที่จะผ่อนผันได้ ก่อนอื่นต้อง"เลิกเครื่องมือฆ่า" ที่ว่าเลิกเครื่องมือฆ่า คือ ต้องถือศีลกินเจ ห้ามฆ่าสัตว์ ให้ปล่อยชีวิตสัตว์ สร้างบุญก่อเกิดบุญวาสนา เจริญปณิธาน"

กับข้อสงสัยที่ว่า....สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ หากว่าเราไม่กิน มันไม่บินกันเต็มท้องฟ้าหรือ ? - พระโอวาทพระพุทธจี้กง เมตตา


บำเพ็ญธรรม จิตใจดี มีเมตตา กรุณา

      อาจารย์จะให้แนวทัศนคติกับเจ้าไว้ ผู้ที่บำเพ็ญโพธิสัตวธรรม ทุกครั้งที่เกิดจิตดำริจะต้องรักษาความสำนึกที่ดีงามไว้ ทุกหนทุกแห่งจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง

บางคนอาจจะอยากถามอาจารย์ว่า...สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ หากว่าเราไม่กิน มันไม่บินกันเต็มท้องฟ้าหรือ ?

อาจารย์จะบอกกับเจ้า หากเจ้าคิดว่า เป็ด ไก่ ปลา เกิด มาให้คนกิน ทว่าเสือก็กินคน อย่างนี้คนก็ต้องยอมให้เสือกินใช่หรือไม่ หรือยุงที่ดูดเลือดคน เจ้าก็ต้องเลี้ยงยุงไว้ดูดเลือดเจ้าใช่หรือไม่ ยุงกัดเจ้า เจ้าตบยุงไหม ฉะนั้นอย่าเห็นแก่ตัว เอาใจเขามาใส่ใจเรา

เราลองมาแจกแจงดู ว่าทำไมจึงมีเหตุต้นผลกรรม อันว่าเหตุต้นผลกรรมนี้ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนๆ ก็เลี่ยงไม่พ้น เกิดมามีชีวิตย่อมจะต้องเวียนว่ายอยู่ในกฏแห่งกรรม

น้ำเป็นพลังงาน
เมื่อน้ำอยู่ในโรงงานผลิตไฟฟ้า น้ำคือหน่วยพลังงาน
น้ำไหลไปถึงเครื่องกำเนิดไฟฟ้า กลายเป็นพลังไฟฟ้า
พลังไฟฟ้าไหลต่อไปกลายเป็นพลังแสงสว่าง
แสงสว่างไหลต่อไปกลายเป็นพลังความร้อน
ดังนั้น น้ำโดยตัวของมันไม่ใช่ไฟฟ้า ไฟฟ้าไม่ใช่แสงสว่าง แสงสว่างไม่ใช่ความร้อน

แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงองค์(องค์ ส่วน ภาค ลักษณะ) หนึ่งเท่านั้น เป็นการปริวรรต(หมุนเวียน เปลี่ยนแปลง) ของสมรรถ(สามารถ) พลังงานอย่างหนึ่ง เป็นการเปลี่ยนย้ายคุณสมบัติปริมาณ

ดังนั้นขณะเจ้ามีกำลังมากเจ้าจะขึ้นสู่เบื้องบน ไม่มีกำลังเจ้าจะตกลงล่าง

หากไม่บำเพ็ญจะตกลงสู่การเวียนว่ายในภูมิวิถีหก ภูมิวิถีหกนี้ล้วนเป็นเพราะมนุษย์ทำให้เกิดการเวียนว่าย

เป็นการกระทำของมนุษย์ขณะมีชีวิตในแต่ละชาติ ตัดสินจากพลังปริมาณของกรรม

เดรัจฉานไม่ใช่คน คนไม่ใช่ยุง แล้วทำไมจึงเปลี่ยนกันไปมาได้ นี่คือความหมายอันเดียวกัน

ดังนั้น จึงต้องบำเพ็ญธรรม จึงจะมีพลังในการบุกทลายกำแพงแห่งเหตุต้นผลกรรมได้ จึงจะขึ้นสู่เบื้องบนได้ หากไม่ปฏิบัติบำเพ็ญก็จะไม่มีบุญกุศล ย่อมตกลงสู่ภพภูมิล่าง หวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะพึงระมัดระวัง





ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ ข้อคิดพิจารณาธรรม โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกข์


ข้อคิดพิจารณาธรรม ท่านพุทธทาสภิกขุ แห่งสวนโมกข์ สุราษฎร์ธานี

ทำไมเราจึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์?
        เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ

ประโยชน์ทางฝ่ายธรรม

ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น
       เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวาย เพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบ ๆ เคียง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อย ๆ ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวาย
       ศรัทธาญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผักแต่เป็นเพราะรู้ว่าสัตว์ถูกฆ่าตาย เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน ที่ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า “คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย”

ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน “สัจธรรม”
         คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์ ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง “ดวงธรรมแห่งสัจจะ” ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง ดังนั้นการฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆวัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึงเหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า “สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์”

ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน“ทมะ”ธรรม
        “ทมะ” คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหาอันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่น ข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าว ฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็นไหนๆ
        ดังนั้น... ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวันการข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์เช่นกัน โปรดทราบ! ว่ามันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด การเลี้ยงพระในงานต่างๆ ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโร เรียกเอาแต่อาหารเนื้อส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อคงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน “แบ่งอิทธิพล”

ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน “สันโดษ”
         สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่าข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น... การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่าย ๆ จะแก้ได้หมด “สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต”

ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน “จาคะ”
        จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบหรือความพ้นทุกข์ นักกินผักที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิตความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ

ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน “ปัญญา”
         ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิมปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุก ๆ วัน แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผักความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี! เพราะฉะนั้นฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้ และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ

ผลดีในฝ่ายโลก
          อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์หรือไม่? เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่าอาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทรงยับยั้งการบูชายัญ - พระสิทธัตถะมหาโพธิสัตว์ ครั้งยังเสด็จออกบวชแสวงหาสัจจธรรม


ทรงยับยั้งการบูชายัญ ครั้นพระสิทธัตถะมหาโพธิสัตว์ยังเสด็จออกบวชเพื่อแสวงหาสัจจธรรม

        ในช่วงหนึ่งของการแสวงหาสัจจธรรม ขณะที่พระสิทธัตถะจะเสด็จไปยังชนบทอันเป็นที่พำนักของบรรดาฤาษีและนักบวชทั้งหลาย ระหว่างทางทรงทอดพระเนตรเห็นฝุ่นฟุ้งมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงฝีเท้าสัตว์จำนวนมากกระทบกับพื้นดินครั้นเสด็จใกล้เข้าไปก็ทอดพระเนตรเห็นแพะและแกะฝูงใหญ่ออกมาจากกลุ่มฝุ่นอันฟุ้งขึ้นดุจเมฆนั้น ฝูงสัตว์ที่น่าสงสารกำลังถูกขับต้อนไปทางในเมือง ตอนท้ายปลายฝูงอันยาวยืดนั้นมีลูกแกะอ่อนตัวหนึ่งขาเจ็บเป็นแผลมีเลือดไหลโทรมต้องพยายามโขยกเขยกเดินไปตามฝูงด้วยความเจ็บปวดทรมานและทั้งทรงสังเกตุเห็นแม่ของมันกำลังเดินวกวนพะวงหน้าพะวงหลังด้วยความห่วงลูกเล็กๆ อีกหลายตัว ดูช่างน่าเวทนายิ่งนักพระหฤทัยของพระองค์ก็เต็มแน่นด้วยความสงสาร

       พระองค์จึงทรงโน้มกายลงอุ้มลูกแกะน้อยที่บาดเจ็บตัวนั้นไว้ในอ้อมพระหัตถ์พลางปลอบโยนอย่างปราณี แล้วหันมากล่าวกับแม่แกะว่า “จงเดินไปดีๆ เถิด เราจะอุ้มลูกน้อยของเจ้าไปให้เอง” แล้วเสด็จพระดำเนินตามฝูงแกะไปข้างหลัง เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นหมู่คนเลี้ยงแกะซึ่งกำลังเดินตามมาก็ตรัสถามว่า เขาจะต้อนฝูงแกะเหล่านี้ไปทางไหนและทำไมจึงต้อนแกะในเวลากลางวันเช่นนี้ แทนที่จะต้อนมันกลับจากที่เลี้ยงในเวลาเย็น คนเหล่านั้นได้กราบทูลพระองค์ว่า เขาต้องทำตามคำสั่งซึ่งให้นำแกะและแพะอย่างละร้อยตัวไปสู่พระนครในเวลากลางวัน เพื่อให้เป็นการพรักพร้อมทันเวลาที่พระราชาจะประกอบพิธีบวงสรวงบูชายัญในวันนี้ พระสิทธัตถะจึงตรัสว่า “เราจะไปกับท่านด้วย” แล้วพระสิทธัตถะก็เสด็จตามฝูงแกะนั้นไป ทรงอุ้มลูกแกะตัวนั้นไว้ในอ้อมพระหัตถ์ตลอดทาง 

เป็นเวลาเย็น เมื่อพระองค์เสด็จผ่านประตูเมืองมาแล้วก็ทรงพระดำเนินต่อไปจนถึงพระราชวังอันเป็นที่จะประกอบพิธี ณ ที่นั้นพระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นราชาแห่งกรุงราชคฤห์ประทับอยู่พร้อมกับบรรดานักบวช ซึ่งกำลังสาธยายมนต์สรรเสริญคุณเทพเจ้าทั้งหลายอยู่ บนแท่นบูชาได้ติดไฟลุกโชติช่วงขึ้นแล้ว ใกล้ๆ กับแท่นบูชานั้นมีแกะตัวหนึ่งถูกมัดไว้จนแน่นสัตว์ที่ไร้เดียงสาตัวสั่นเทิ้มมีน้ำตาไหลออกจากดวงตาทั้งสองเมื่อเห็นความตายรออยุ่เบื้องหน้า

ขณะที่หัวหน้าของนักบวชกำลังเงื้อมีดขึ้น เพื่อตัดหัวแกะตัวแรกที่ถูกนำมาสังเวย พระสิทธัตถะได้ทรงก้าวออกไปประทับยืนอยู่เบื้องหน้า และตรัสแก่พระเจ้าพิมพิสารผู้เป็นประธานในพิธีว่า... “

หยุดก่อนมหาราช อย่าให้ผู้บูชายัญพล่าชีวิตสัตว์ที่น่าสงสารนี้เลย” ด้วยพระลักษณะอันสง่าสูงส่งและพระสุรเสียงอันทรงอำนาจ ได้ครอบงำความรู้สึกของคนทั้งหลายในที่นั้นอย่างสิ้นเชิง การกระทำของนักบวชเพชร ฆาตถูกยับยั้งให้สะดุดหยุดลงทันที

และแล้วพระองค์จึงทรงหันมาตรัสถามบรรดานักบวชผู้ซึ่งต่างถือมีดประหารไว้ในมือว่า..."พวกท่านหวังประโยชน์อันใดจากการเซ่นสรวงบูชาด้วยชีวิตสัตว์ผู้บริสุทธิ์มากมายเหล่านี้ ?” “"

เหล่านักบวชทำพิธีบูชายัญ : "ชีวิตสัตว์เหล่านี้ จะสามารถไถ่โทษบาปเวรเคราะห์กรรมของผู้ที่นำมันมาเซ่นสังเวย เลือดเนื้อของมัน จะทำให้เวงะผู้ยิ่งใหญ่ทรงพอพระทัยและแล้วพระองค์ก็จะประทานพรแก่พระราชาของเรา ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ก็จะพลอยได้รับความคุ้มครองด้วย ท่านนี้ช่างไม่รู้อะไรเสียเลยจริงๆ”" หัวหน้านักบวชกล่าวต่อพระผู้เสด็จมายับยั้งพิธีของตนอย่างขุ่นเคืองใจ

พระสิทธัตถะจึงทรงตรัสต่อไปว่า..."นั้นเป็นเพราะความหวังประโยชน์ของมนุษย์แต่เพียงฝ่ายเดียว ก็แล้วสัตว์ทั้งหลายที่ต้องถูกฆ่าอย่างทุกข์ทรมานจะถือเป็นความชอบธรรมดีแล้วกระนั้นหรือ ?”"

นักบวชผู้ทำพิธีโต้แย้งทันทีว่า “"พวกมันไม่ได้ตายไปเปล่าๆหรอก สัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อการเซ่นสรวงเทพเจ้า วิญญาณของพวกมันก็จะได้ไปสู่สุคติเสวยสุขในแดนสวรรค์ชั่วนิรันดร”"  “

พระสิทธัตถะทรงตรัสถามต่อไปว่า "ท่านเชื่อมั่นว่าการบูชายัญให้ผลเช่นนั้นแน่จริงหรือ?”" พระองค์ทรงย้ำ “
เหล่านักบวชทำพิธีบูชายัญตอบว่า "แน่ซิ แน่นอนที่สุด” นักบวชผู้เป็นหัวหน้าและเหล่าสานุศิษย์กล่าวยืนยันความเชื่อของตน"

เมื่อได้ทรงสดับอย่างนั้นแล้ว พระจอมมุนีจึงกล่าวต่อบรรดานักบวชเหล่านั้นว่า..."พวกท่านยืนยันเช่นนี้ดีแล้วในที่นี้ทุกคนล้วนมุ่งหวังให้ตนเองและบุคคลอันเป็นที่รักสามารถพ้นบาปเคราะห์ทั้งปวงและได้เสวยสุขในสวรรค์ใช่หรือไม่?”"  “

บรรดานักบวชทำพิธีบูชายัญตอบว่า "ใช่ เป็นอย่างนั้น” นักบวชและมหาชนที่ห้อมล้อมในพิธีต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน"

พระผู้ทรงมหากรุณาธิคุณ จึงมีพระดำรัสต่อไปว่า.."“หากการฆ่าบูชายัญต่อเทพเจ้ามีผลประเสริฐกับทุกฝ่ายถ้าเช่นนั้นไม่เป็นการดีกว่าหรือหากท่านจะนำเอา บิดามารดา อันเป็นที่รักของตนมาฆ่าบูชายัญ เพื่อที่ท่านเหล่านั้นจะได้ไปพบความสุขบนสวรรค์เสียในวันนี้ แทนที่จะใช้สัตว์มากมายมาเป็นเครื่องบูชา และจงสั่งให้สานุศิษย์บริวาร นำเอาตัวท่านมาบูชายัญด้วยเพื่อที่ท่านทั้งหลายจะได้ไปสู่สวรรค์ โดยมิต้องเสียเวลามาบำเพ็ญถือบวชให้ลำบากเสียเปล่าๆ เพราะผู้ฆ่าย่อมพ้นบาปเคราะห์ทั้งปวงและผู้ถูกฆ่าก็จะไปสู่สุคติ ได้เสวยสุขในแดนสวรรค์อย่างที่ท่านพูด กระทำดังนี้ย่อมดีกว่ามิใช่หรือ?”"

ด้วยพระวจาอันเที่ยงธรรมและทรงไว้ซึ่งเหตุและผลได้ครอบงำความรู้สึกของคนทั้งหลายในที่นั้นโดยสิ้นเชิง หัวหน้านักบวชและสานุศิษย์ต่างนิ่งอึ้งปิดปากเงียบสนิท ดังถูกมนต์สะกดแล้วพระองค์ก็ทรงแก้มัดให้แกะนั้นหลุดไปหามีใครกล้าขัดขวางไม่

เมื่อทุกคนสงบนิ่ง พระองค์จึงทรงชี้แจงให้ประชาชนที่ล้อมรอบอยู่ได้ทราบถึงความมหัศจรรย์ของชีวิตอันเป็นที่รักและหวงแหนของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า...“การฆ่าสัตว์นั้นใครๆ ก็อาจทำได้ แต่เมื่อชีวิตถูกทำลายไปแล้ว การจะทำให้มันกลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตดังเดิม หามีใครทำได้ไม่ มนุษย์ควรเป็นผู้ให้ความกรุณาต่อสัตว์ ด้วยเหตุว่ามนุษย์ย่อมเลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย ทั้งทางอำนาจและสติปัญญาควรหรือที่เราจักใช้กำลังที่ตนมีเหนือกว่าไปปล้นเอาชีวิตอันเป็นที่รักของมันเสีย ควรหรือที่เราจักมาฆ่าผู้ป้องกันตัวเองมิได้ สัตว์ทั้งหลายแม้จะต่ำต้อยน้อยนิดปานใดก็รักชีวิต กลัวต่อความตายเหมือนกัน ต่างรู้สึกเจ็บ รู้สึกทุกข์โศกยามต้องพลัดพราก เพียงแต่ไม่สามารถเอ่ยคำพูดขอความเห็นใจคราวที่มนุษย์เองเจ็บปวดทุกข์ทรมานยังร่ำร้องขอความช่วยเหลืออย่างเสียขวัญ แต่แล้วตนเองกลับมีใจเหี้ยมโหด กระทำทารุณต่อสัตว์ผู้ไม่อาจออกปากอ้อนวอน 

ดูก่อน ท่านทั้งหลาย มนุษย์และสัตว์ย่อมมีชีวิตเกี่ยวเนื่องเอื้อประโยชน์ต่อกัน พวกท่านมิได้ไตร่ตรองเลยหรือว่าสัตว์เหล่สนี้มีพระคุณแก่เราที่ได้ให้น้ำนมและปุยขนอันอ่อนนุ่มและมอบความอบอุ่นให้แก่ร่างกายเรา สัตว์นั้นมอบความไว้วางใจไว้กับมนุษย์ผู้ซึ่งกลับตอบแทนมันด้วยการประหัตประหาร ด้วยการโยนบาปของเราลงไปทำลายชีวิตของมัน เพื่อความหลังที่จะไถ่โทษตน เป็นการสมควรแล้วหรือ? ความผิดบาปของใครผู้นั้นก็ต้องรับไว้ด้วยตนเองใครสร้างกรรมไว้อย่างไรก็ต้องได้รับผลกรรมของตน นี่เป็นธรรมดา”

บรรดานักบวชและฝูงชนทั้งหลายสงบนิ่งเงียบเสียงผู้ที่ถือมีดประหารต่างวางมีดของตนลง พระราชาผู้เป็นใหญ่เสด็จลงจากบัลลังก์ ทรงพระดำเนินเข้าใกล้องค์พระมหาบุรุษประนมหัตถ์ทั้งสองขึ้นน้อมพระเศียรรับฟังพระวจนะด้วยพระหฤทัยอันปิติซาบซึ้ง



พระสิทธัตถะมหาโพธิสัตว์จึงทรงประกาศต่อที่ชุมนุมว่า...มหาชนเอ๋ย โลกเรานี้จะมีสันติสุขจะงดงามยิ่งนัก แม้นว่ามนุษย์และสรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลายผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันจะอนุเคราะห์เกื้อกูลรักใคร่กัน ประดุจพี่น้องร่วมสายโลหิต มนุษย์ก็ดำรงชีพด้วยพืชผักผลไม้อันบริสุทธิ์สะอาดเว้นเสียจากการกินและการฆ่าสัตว์มาเป็นอาหาร ถ้ามนุษย์ปรารถนาจะได้รับความเมตตากรุณาแล้ว ก็ควรแผ่เมตตากรุณาออกไป หากมนุษย์เป็นผู้ล้างผลาญชีวิต มนุษย์ก็จะถูกล้างผลาญชีวิตเป็นการตอบแทน อันเป็นกฎความจริงซึ่งครองโลก ผู้ใดปรารถนาจะให้ความสุขบังเกิดแก่ตนทั้งปัจจุบันและอนาคตสืบต่อไปก็ต้องไม่ทำความทุกข์ให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย แม้ว่าเขาจะต่ำต้อยเพียงไร ผู้ที่หว่านพืชแห่งความเศร้าโศกทุกข์ทรมานลงไปแล้วก็จักได้เก็บเกี่ยวผลอันเกิดขึ้นดุจเดียวกัน” 

บรรดานักบวชได้สดับฟังดังนี้ ก็มีใจโอนอ่อนตามพระวาจา พากันดับองค์ไฟบูชาและปล่อยแพะแกะไปเสียสิ้น พระสิทธัตถะได้ตรัสแก่พระราชาและนักบวชผู้ประกอบการบูชายัญตลอดถึงประชาชนชาวนครราชคฤห์เหล่านั้นด้วยพระอาการอันสุภาพอ่อนโยน เต็มไปด้วยพระทัยกรุณาอย่างแท้จริง แต่ก็ทรงไว้ซึ่งอำนาจและพลังอันเข้มแข็ง ถึงกลับแปรเปลี่ยนความนึกคิดของที่ประชุมทั้งหมด ให้บังเกิดความเมตตาต่อสรรพสัตว์เป็นผลให้พระเจ้าพิมพิสารมีพระราชโองการประกาศให้เลิกพิธีบูชายัญตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

พระเจ้าพิมพิสารทรงขอร้องต่อพระสิทธัตถะ ให้ประทับอยู่ในอาณาจักรของพระองค์เพื่อทรงสั่งสอนชนทั้งหลายให้มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายสืบไป พระมหามุนีได้ทรงขอบพระทัยต่อองค์ราชา แต่เนื่องจากพระองค์ยังมิได้ตรัสรู้สิ่งที่ทรงประสงค์จึงมิอาจรับสนองพระราชประสงค์เอาไว้ได้ และแล้วพระสิทธัตถะบรมโพธิสัตว์ก็ทรงทูลลาเพื่อเสด็จจาริกต่อไป

..............................................................................................................................................................................................

แหล่งที่มาบททความ

http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=137&page=3






บทความที่ได้รับความนิยม