เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันเสาร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ความเมตตาที่แท้จริง เมตตาอันบริสุทธิ์ - หันเซียงจื่อต้าเซียน (韓湘子大仙) พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์



ความเมตตาที่แท้จริง เมตตาอันบริสุทธิ์ - หันเซียงจื่อต้าเซียน (韓湘子大仙) พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 


   "มีเวไนยสัตว์มากมายที่ร่ำร้องวอนขอเรา เขาถามว่า ท่านได้เหยียบย่ำทำร้ายสิ่งใดบ้าง เคยนึกไหม?(ไม่เคย) ท่านคิดเพียงสัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก สัตว์เล็กเป็นอาหารสัตว์ใหญ่ เช่นนี้ถ้าช้างไม่กินผักผลไม้ แต่หันมากินคนแทน ท่านจะใช้คำว่า สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็กได้หรือไม่? ( ได้ )

    ความเมตตาอย่าคิดแค่ใจสงสาร เมตตาแต่ต้องออกมาจากทุกส่วนของการกระทำ ส่วนลึกในใจ ไม่ใช่แค่พูด หรือแค่แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบังคับได้ ท่านก็อาจจะบอกว่าอย่าทานเนื้อสัตว์เลย แต่ทำไมท่านไม่กล้าที่จะออกกฎบังคับ นั่นเป็นเพราะว่าความเมตตานั้นไม่ได้เกิดจากการบังคับ การกดขี่ข่มเหง แต่เมตตาที่แท้จริง หรือเมตตาอันบริสุทธิ์ ต้องออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ จากมโนธรรมสำนึกที่เรามีอยู่ใช่หรือไม่ นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นเมตตาที่แท้ เป็นเมตตาที่สว่างไสว

     ฉะนั้นตอนนี้รู้แล้วว่า การเบียดเบียนสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ดี มีแต่ทำร้ายเขา ทำให้เขา เจ็บปวด น้ำตาที่ไหล เราอาจจะมองไม่เห็น แต่ใจส่วนลึกของสรรพสัตว์ต่างก็ต้องมีความ เจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ต้องการบังคับให้เลิกทานเนื้อสัตว์ แต่ต้องการ เรียกร้องความเมตตา เรียกร้องมโนธรรมสำนึกที่อยู่ในจิตใจ
     ให้ย้อนมองดูว่าความเจ็บปวดที่เราโดนนั้นเป็นอย่างไร แล้วที่สรรพสัตว์โดนนั้นแตกต่างกันอย่างไร แค่เราโดนมีดบาด นิดหน่อย เราก็เป็นเดือดเป็นแค้น แต่ถ้าโดนพรากชีวิตทั้งชีวิต พรากจากพ่อ แม่ ลูกหลาน เราจะรู้สึกอย่างไร การสูญเสียนั้นมีแต่ความเสียใจ ความหดหู่

     ฉะนั้นเราลองถามตนเองว่า ถ้าเราไม่อยากสูญเสีย ไม่อยากพลัดพราก แล้วตัวเราได้เป็นต้นเหตุให้คนอื่น หรือสรรพสัตว์ต้องสูญเสียหรือพลัดพรากบ้างหรือเปล่า?"




วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

การทานเจ และถือศีลเจนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงหลีต้าเซียน 钟离大仙 (หนึ่งในแปดเซียน)



การทานเจ การถือศีลเจนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงหลีต้าเซียน 钟离大仙 (หนึ่งในแปดเซียน) 


     "การทานเจ และถือศีลเจนั้นมีความหมายที่ยิ่งใหญ่ การทานเจไม่ใช่เพื่อปากสะอาดเท่านั้น ต้องมีกายที่สะอาด ความคิดที่บริสุทธิ์และใจที่บริสุทธิ์ เข้าใจไหม?

     ดังนั้นทานอาหารเจ ๑ มื้อ เท่ากับทุกท่านได้ตัดกรรมสัมพันธ์กับเวไนยไป ๑ มื้อ เช่นนี้ทุกท่านได้ทำการปล่อยสัตว์แล้วใช่ไหม? (ใช่) ตอนนี้ทุกท่านก็ทานอาหารเจมา ๒ วันแล้ว ได้ตัดกรรมสัมพันธ์ที่สร้างไว้กับเวไนยมา ๒ วันแล้ว เป็นเช่นนี้เวไนยจะรู้สึกขอบคุณท่านหรือเปล่า? (ขอบคุณ)

     พูดถึงคำว่า...เมตตาจิต แต่หากทุกวันท่านก็ยังฆ่า วัว กินไก่ กินเนื้อสัตว์ หาเงินหาทองมาได้ก็ไปซื้อสัตว์มาปล่อยมากมาย แล้วเธอก็บอกว่า "ฉันนั้นมีจิตเมตตามาก ปล่อยสัตว์ตั้งมากมาย" พอขากลับท่านก็ไปกินเนื้อสัตว์มื้อใหญ่ ขอถามเมธีทั้งหลายว่าทำเช่นนี้เรียกว่า ท่านมีจิตเมตตาหรือ? เป็นการปล่อยสัตว์อย่างแท้จริงหรือ?

     การปล่อยสัตว์อย่างแท้จริงนั้นคือการตัดกรรมกับสัตว์ในภูมิวิถีทั้ง ๖ การที่ท่านไม่กินเนื้อเขานั้นจึงจะถือว่าท่านมีจิตเมตตาอย่างแท้จริง ถือเป็นการปล่อยสัตว์อย่างแท้จริง"







วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ !?

เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่มนุษย์ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ !?


     ในทางธรรมชาติบำบัดแล้วต่างเห็นพ้องต้องกันเป็นส่วนใหญ่ว่าความจริงแล้วมนุษย์ไม่เหมาะที่จะบริโภคเนื้อสัตว์ และเนื้อสัตว์เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มนุษย์เกิดโรคร้ายต่างๆเป็นจำนวนมาก

     ข้อทักท้วงที่ตามมาโดยทันทีก็คือแล้วเช่นนั้นถ้าไม่ทานเนื้อสัตว์มนุษย์ก็จะขาดโปรตีนและไม่แข็งแรง ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์สามารถหาโปรตีนได้จากถั่วและธัญพืชหลายชนิด เช่น ธัญพืชมีโปรตีน 8% - 12% ถั่วเหลืองมีโปรตีน 40% หรือ 2 เท่าของโปรตีนในเนื้อสัตว์ แม้แต่เนื้อสันในที่เชื่อกันว่าดีที่สุด ก็มีโปรตีนที่นำมาใช้ได้เพียง 20% เท่านั้น ในขณะที่ถั่วและเมล็ดพืชต่างๆมีโปรตีน 30%

     เราจึงพบว่านักกีฬาที่มีชื่อเสียงในระดับโลกกินอาหารจากพืชเป็นหลักที่มีไขมันต่ำแต่กลับทำให้ร่างการแข็งแกร่งมากขึ้น เช่น นักกรีฑาคาร์ล ลูอิส, นักเทนนิสชื่อดังมาตินา นาฟราติโลวา, นักมวลปล้ำระดับโลกอย่างคริสต์ แคมเบลล์ หรือนักวิ่งมาราธอน รูทส์ เฮลดริคช์ ฯลฯ

     หรือจะดูย้อนไปไกลกว่านั้นถึงความสำเร็จของนักกีฬาที่รับประทานอาหารมังสวิรัติและทำสถิติโลกสำคัญ เช่น เมอร์เร่ย์ โรส นักกีฬาว่ายน้ำผู้ที่เคยได้รับ 4 เหรียญทองและทำลายสถิติโลกในกีฬาโอลิมปิค, เอ. แอนเดอร์สัน นักยกน้ำหนักที่ทำลายสถิติโลกหลายครั้ง หรือแม้แต่ จอห์นนี่ ไวส์ มูลเลอร์ ผู้ทำลายสถิติว่ายน้ำของโลกถึง 56 ครั้ง

     แต่สำหรับคนที่กินเนื้อสัตว์นั้นควรจะต้องตระหนักว่า สัตว์ที่ตกใจกลัวสุดขีดเพราะการถูกฆ่าจะมีสารพิษในร่างกายเกิดขึ้นโดยทันที เช่น การหลั่งฮอร์โมนอะดรีนาลีน (Adrenaline) และกรดยูริค (Uric Acid) ซึ่งขับออกมาด้วยความหวาดกลัวหรือได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ซึ่งภาวะความเป็นพิษเหล่านี้จะกระจายไปทั่วร่างของสัตว์และตกค้างอยู่ตามเส้นเลือดและเนื้อเยื่อ และเมื่อย่อยสลายแล้วจะมีความเป็นกรดสูงในร่างกายมนุษย์

     และด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เราได้สารแปลกปลอมในเนื้อสัตว์อีกมากมายเพื่อให้มนุษย์ได้มีความพึงพอใจกับรูปลักษณ์ขอเนื้อสัตว์เหล่านั้น เช่น การใช้ฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะเพื่อเร่งให้สัตว์มีร่างกายเจริญเติบโตได้เร็ว การใช้ฟอร์มารีนเพื่อกันเน่าเสีย การใช้สารเร่งเนื้อแดงเพื่อหลอกให้เชื่อว่าเนื้อมีความสดใหม่ แต่ประเด็นนี้แม้ในพืช ผัก และผลไม้ของไทยก็เต็มไปด้วยสารพิษจากยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมากด้วยเช่นกัน (นอกจากประเทศไทยจะมีการปฏิรูปอาหารครั้งใหญ่)

     พลตรีจำลอง ศรีเมือง ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า ถ้ามนุษย์ไม่มีอาวุธอยู่ในมือ หรือมีเครื่องปรุงที่กลบเกลื่อนเนื้อสัตว์ เราจะไม่สามารถไล่ล่าหรือกัดกินเนื้อสัตว์ตามธรรมชาติได้เลย

     ในขณะที่คุณณรงค์ โชควัฒนา ซึ่งเป็นผู้รับประทานอาหารมังสวิรัติมาหลายสิบปี ก็ให้ความเห็นว่าความจริงแล้วมนุษย์ไม่ได้มีความอยากอาหารเมื่อเห็นสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หรือแม้แต่เห็นซากสัตว์ หรือได้กลิ่นคาวเลือดจากเนื้อสัตว์ มนุษย์จึงต้องเปลี่ยนแปรสภาพด้วยการสับ บด ต้ม หรือทอดด้วยน้ำมัน และใช้เครื่องปรุงอาหารและเครื่องเทศเพื่อเปลี่ยนรสชาติกลบเกลื่อนเนื้อสัตว์เหล่านั้นเสีย ให้กลายเป็นอาหารประเภทอีกชนิดหนึ่งที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น

และหากจะพิจารณาลักษณะสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังในการแบ่งกลุ่มกินเนื้อ กินหญ้า และผลไม้แล้ว เราจะได้ข้อมูลเปรียบเทียบที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้

  • สัตว์กินเนื้อจะมีเล็บงุ้มแหลมคมและแข็งแรงสำหรับการตะปบ แต่สัตว์กินหญ้าและใบไม้ ตลอดจนสัตว์กินผลไม้จะเล็บแบน ซึ่งมนุษย์ก็เล็บแบนเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อพิจารณาลักษณะนิ้วและเล็บของมนุษย์แล้วเหมาะสำหรับการเด็ดจับผลไม้หรือพืชเท่านั้น ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้กับสัตว์ด้วย 2 มือเปล่าได้
  • สัตว์กินเนื้อฟันหน้าจะแหลมคมเพื่อเอาไว้ฉีกเนื้อ และไม่มีฟันกรามด้านหลังสำหรับบดอาหาร สัตว์กินเนื้อจึงไม่ต้องบดเคี้ยวเอื้องและกินเร็วมาก ส่วนสัตว์ที่ไม่กินเนื้อทั้งสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ จะมีฟันหน้าไม่แหลมคมและมีฟันกรามด้านหลังสำหรับบดอาหารและใช้เวลานานกว่า ส่วนมนุษย์ไม่มีลักษณะฟันที่จะจัดกลุ่มกินเนื้อได้เลย
  • นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำลายของสัตว์กินเนื้อตามปกติจะเป็นกรด และไม่มีน้ำย่อยทายลินสำหรับย่อยอาหารจำพวกข้าวในขั้นต้น อีกทั้งยังมีต่อมน้ำลายเล็กๆในปาก เนื่อจากไม่จำเป็นต้องย่อยอาหารประเภทข้าวหรือผลไม้ในขั้นต้น ในขณะที่มนุษย์เหมือนสัตว์กินพืช ผัก ผลไม้ คือเมื่อสุขภาพดีน้ำลายจะเป็นด่าง มีน้ำย่อยทายลินเพื่อย่อยอาหารประเภทข้าว และมีต่อมน้ำลายที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยอาหารประเภทข้าว หรือผลไม้ในขั้นต้น
  • ผิวหนังของสัตว์กินเนื้อจะมีความหยาบกระด้าง ไม่มีรูขุมขน คายน้ำโดยรู้ที่ลิ้นเพื่อให้ร่างกายเย็น ในขณะที่มนุษย์มีลักษณะเหมือนสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ คือ มีการขับเหงื่อโดยรุขุมขนนับล้านตามผิวหนัง
  • ในกระเพาะอาหารสัตว์กินเนื้อจะมีกรดไฮโดรคลอริกอยู่มากเหมาะสำหรับย่อยกล้ามเนื้อ กระดูก และส่วนอื่นๆของสัตว์ และมีความเป็นกรดสูงกว่ามนุษย์ และ สัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ถึง 20 เท่า
  • ลำไส้ของสัตว์กินเนื้อจะยาวเพียง 3 เท่าของร่างกายเท่านั้น เพื่อขับถ่ายเนื้อที่เน่าเสียออกได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่มนุษย์เหมือนกับสัตว์กินหญ้า ใบไม้ และผลไม้ คือ มีลำไส้ยาวกว่าร่างกายถึง 10-12 เท่า เพราะพืชและผลไม้จะเน่าเสียช้ากว่า จึงผ่านการย่อยและดูดซึมเข้าผ่านลำไส้ได้ตามปกติไม่มีความจำเป็นต้องเร่งถ่ายออก
  • มนุษย์มีภาวะความเป็นกรดในกระเพาะอาหารน้อยกว่าสัตว์กินเนื้อ และมีลำไส้ที่ยาวกว่าด้วย ดังนั้นเมื่อกินอาหารเนื้อสัตว์มากจึงย่อยสลายเนื้อสัตว์ได้ยาก และเนื้อสัตว์เหล่านั้นนอกจากจะมีสารพิษแล้วเมื่อเน่าเสียได้เร็วแต่ขับถ่ายออกผ่านลำไส้มนุษย์ได้ช้า คนที่กินเนื้อสัตว์มากจึงมักเป็นโรคท้องผูกเพราะเนื้อสัตว์ไม่ค่อยมีกากไฟเบอร์ทำให้การเคลื่อนไหวทางเดินอาหารเป็นไปอย่างช้ามาก เกิดความหมักหมมและก่อโรคมากในลำไส้ และก่อโรคอื่นๆตามมาในที่สุด


วารสารการแพทย์อเมริกัน (The Journal of The American Medical Association) ได้เคยรายงานว่า "การกินอาหารมังสวิรัติสามารถป้องกันโรคหัวใจได้ถึง 90% - 97%"

     อีกทั้งยังปรากฏรายงานวิจัยทางการแพทย์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการรับประทานอาหารในพืชและผักที่มีไฟเบอร์สูงและความเสี่ยงของมะเร็งในลำไส้ใหญ่และเต้านมโดย โดย Eur J Cancer Prev ปี พ.ศ. 2541 พบว่าพบว่าการรับประทานผักผลไม้ สามาถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งอีกมากมาย รวมถึงผักและผลไม้ที่มีสารกากใยมากจะช่วยการลดมะเร็งลำไส้ใหญ่

     นอกจากนี้ในทางการแพทย์ยังพบอีกด้วยว่าการกินเนื้อสัตว์มากจะสั่งสมก๊าซไนโตรเจนในรูปของกรดยูริคมากเกินไป ซึ่งจะก่อให้เกิดโรคไต เมื่อไตไม่สามารถกำจัดกรดยูริคออกจาร่างกายตามข้อต่อ หรือตามกล้ามเนื้อ ก็จะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยตามข้อ เป็นโรคเก๊าท์ และโรคไขข้ออักเสบ ยังไม่นับอีกหลายโรคที่มีสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับกินเนื้อสัตว์ที่มีไขมันอิ่มตัวอยู่มาก เช่น โรคไขมันคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง โรคนิ่วในไต โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก, โรคเบาหวาน, โรคแผลในกระเพาะอาหาร, โรคนิ่วในถุงน้ำดี, โรคข้ออักเสบ, โรคเหงือก โรคสิว, โรคมะเร็งตับอ่อน, โรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร, โรคกระดูกพรุน, โรคมะเร็งรังไข่, โรคริดสีดวง, โรคอ้วน, โรคหืดหอบ ฯลฯ

     ชาวฮันซ่า คือกลุ่มชนที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย และปากีสถาน เผ่าโอโตมี่ (ชนพื้นเมืองของเม็กซิโก) และชนพื้นเมืองในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกา มีสุขภาพแข็งแรง มีโรคภัยไข้เจ็บน้อย และโดยเฉลี่ยจะมีอายุยืนถึง 110 ปี หรือมากกว่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้กินอาหารมังสวิรัติ

     ในขณะที่ชาวเอสกิโม ซึ่งกินเนื้อสัตว์และไขมันเป็นประจำ จะแก่เร็ว และมีอายุโดยเฉลี่ย 27 ปีครึ่ง และในบรรดาชาวเคอกิส คือชนชาติพเนจรในแถวตะวันออกของรัสเซีย ซึ่งกินเนื้อสัตว์เป็นอาหารหลัก จะมีน้อยคนมากที่มีอายุเกิน 40 ปี

     นักวิทยาศาสตร์สำคัญในโลกหลายคนก็รับประทานอาหารมังสวิรัติ เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, เบนจามิน แฟรงคลิน, ชาร์ลส์ ดาร์วิน, เลโอนาร์โด ดาวินชี, ปาสคาล, เซอร์ ไอแซค นิวตัน, ส่วนนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มีชื่อเสียงและรับประทานอาหารมังสวิรัติ ก็คือ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

     อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ที่ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ ได้เคยพูดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารมังสวิรัติว่า

     "ไม่มีอะไรที่จะได้ทำให้สุขภาพมนุษย์ได้รับประโยชน์และเพิ่มโอกาสสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้มากเท่ากับการวิวัฒนาการของการทานอาหารมังสิวิรัติ"

     ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา นักวิทยาศาตร์ไทยผู้คิดค้นและออกแบบระบบการลงจอดยานอวกาศไว้กิ้ง 1 ไวกิ้ง 2 และไวกิ้ง 3 ลงบนพื้นผิวดาวอังคารให้กับองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ องค์การนาซ่า เป็นคนแรกและครั้งแรกของโลกโดยการหยั่งรู้จากการนั่งสมาธิ ได้ให้สัมภาษณ์ปรากฏในหนังสือ "แท้จริงแล้วมนุษย์เป็นสัตว์กินพืช" เขียนโดย คุณชนาธิป วงศ์ธิกุล และบรรณาธิการโดย คุณศิริวรรณ เต็มผาติ ความบางตอนจากการสัมภาษณ์น่าสนใจมีดังนี้:

     "เราปลูกผักเยอะๆ มันก็ดูดเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมันก็ผลิตคาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารให้กับเรา และเราก็รับประทานเข้าไป เพราะฉะนั้นเราทานผัก เราลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ถ้าเราทานเนื้อสัตว์ เราต้องเลี้ยงสัตว์ ซึ่งไม่เหมือนกันกับพืช สัตว์ไม่ได้เอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไป แต่กลับเอาออกซิเจนไปใช้ แล้วคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา แถมยังผลิตก๊าซมีเทนเยอะมาก ซึ่งไม่ได้ช่วยโลกของเราเลย แต่ทานผัก เราปลูกผักเยอๆ โลกก็เย็นลงด้วยครับ...

     สัตว์ตอนโดนฆ่านี่ โอ้โฮ.. มันจะกลัว มันจะมีอารมณ์มันจะหลั่งสารเคมีต่างๆหลายอย่างซึ่งเป็นผลเสียต่อสุขภาพของเรานะครับ แล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เกิดการยกระดับจิตใจ แต่ผักจะไม่มีปฏิกิริยาเหล่านี้ ตรงกันข้ามมันกลับมีความสุขครับ เพราะนี่คือวิธีการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติของมัน คือการที่เราไปเด็ดไปกินแล้วเราก็จะทิ้งเม็ด เม็ดก็คือเมล็ดที่งอกขึ้นใหม่ได้ นี่เป็นการขยายพันธุ์โดยธรรมชาติ ต้นไม้ยินดีมากเลย เพราะเป็นวิธีการขยายพันธุ์ของเขา...
     ร่างกายของเราเจริญเติบโตก็ด้วยผัก ผักมันกลายเป็นเนื้อของเรา มันกลายเป็นอวัยวะของเรา มันได้กลายเป็นส่วนที่เป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้นพวกผักมันจะรู้สึกดี ผักไม่มีปฏิกิริยาเชิงลบ ผักไม่รู้สึกว่ามันโดนฆ่าหรืออะไรทั้งสิ้น มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ซึ่งมันเองก็มีความสุข ไม่เหมือนกับทานเนื้อสัตว์ ซึ่งจะมีปฏิกิริยาในทางลบแล้วก็สร้างความเสียหายให้กับเรา"

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมาข้างต้น มนุษย์จึงควรเป็นสัตว์กินพืช และมนุษย์ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ !!!!





วันพฤหัสบดีที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2556

มโนธรรมของนกเขายอมพลีชีพพร้อมคู่ครอง - นิทานเต้าจือจงจื่อ

มโนธรรมของนกเขายอมพลีชีพพร้อมคู่ครอง 

     ในสมัยก่อนมีชายคนหนึ่งชื่อว่า เิฉินเต้าเจี้ย มีอยู่วันหนึ่งเขาได้เห็นนายพรานใช้ปืนยิงนกเขาตัวหนึ่งตกลงมา ในขณะที่นายพรานกำลังจะไปเก็บนกเขานั้น ทันใดนั้นก็เห็นนกเขาอีกตัวได้ถลาลงมา แล้วเดินวนดูรอบๆ ข้างนกเขาตัวที่ตายแล้ว และยังได้คาบอาหารมาป้อน เป็นเพราะปากของนกที่ตายไม่สามารถอ้าได้

     ดังนั้นนกเขาตัวนี้จึงได้บินไปที่ริมน้ำแล้วใช้ปีกชุบน้ำให้เปียก แล้วนำมาปิดตรงที่นกเขาถูกปืนยิงบาดเ็จ็บ แต่ทว่าก็มิอาจช่วยชีวิตได้ นกเขาตัวนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก แล้วบินขึ้นไปบนต้นไม้ เฉินเต้าเจี้ยงมองด้วยความตะลึงงง ขณะที่นายพรานก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะหยิบเอานกที่ตาย ทันใดนั้นเองนกเขาตัวที่อยู่บนต้นไม้พุ่งลงมาจากกลางอากาศแล้วกระแทกลงกับพื้นดิน แน่นอนมันก็ตายด้วย นายพรานคนนั้นได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้วรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

     เฉินเต้าเจี้ยได้พูดกับนายพรานว่า..."เ้จ้ารู้ไหม ทำไมนกอยู่บนต้นไม้ถึงได้บินชนพื้นตายเอง เพราะว่ามันไม่สามารถช่วยชีวิตของคู่ครอง มันเสียใจมากจึงฆ่าตัวตาย เจ้ายิงไปตัวหนึ่ง แต่มันไม่อยากมีชีวิตอยู่โดดเดี่ยว ยินยอมที่จะตายตามกัน นกมันยังมีมโนธรรมเลย ทำไมเจ้าถึงทำได้ลงคอ"

     นายพรานคนนั้นได้ฟังแล้วก้มหัวถอนหายใจ ภายในใจรู้สึกสำนึกผิดเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็หักปืนที่อยู่ในมือ เปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา







วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

คนสัตว์ล้วนมีชีวิตอันล้ำค่า - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระนาจาไท่จื่อ( 哪吒太子)

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระนาจาไท่จื่อ


     “คนสัตว์ล้วนมีชีวิตอันล้ำค่า” สิ่งใดที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับตัวเรา ถ้าแลกหนึ่งชีวิต เพื่อให้ได้มาหนึ่งชีวิต ดีไหม? สัตว์หนึ่งชีวิตเพื่อต่อเราหนึ่งชีวิตดีไหม? (ไม่ดี) 

     หากเราพูดเป็นชีวิต ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ถ้าเราบอกว่าเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง เราก็คงบอกว่าไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเราพูดว่าเป็นชีวิตหนึ่ง แลกมาเพื่อชีวิตหนึ่งดีไหม? (ไม่ดี) ดูเหมือนโหดร้ายแล้วก็ไม่ยุติธรรม ใช่ไหม?

     เหมือนเราเดินมาแล้วมีคนบอกว่า...ท่านช่วยต่อชีวิตให้เราหน่อย เราอายุจะหมดแล้ว เพียงท่านให้ชีวิตเรามา แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ ท่านยอมไหม?
     หรือถ้าบอกว่า...ให้ชีวิตมาเพียงแค่ให้เราอิ่มก็พอ ยอมไหม? ไม่ยอม ใช่หรือไม่? แค่จิตใจของเรา ตัวคนต่อคน บางทีก็แทบจะไม่ยอม ใช่หรือไม่? (ใช่) แต่บางทีต้องคิดชั่งแล้วชั่งอีกว่า จะยอมดีหรือไม่ดี ใช่หรือเปล่า? (ใช่)

     แล้วเราจะทำอย่างไร ต่อสัตว์เราต้องรู้จักปล่อยชีวิตเขา ปล่อยชีวิตเขาแล้ว นอกจากรักษาเขาแล้วก็ช่วยเราด้วย ช่วยเราไม่เบียดเบียนเขา ช่วยเราไม่เป็นคนที่ฆ่าเขา ใช่หรือไม่? (ใช่) แต่ปล่อยมือแล้วอย่าลืมปล่อย(สัตว์ที่)ปากด้วย ใช่หรือไม่? (ใช่)





วันอังคารที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เห็นสัตว์ทุกชนิดเป็นเพื่อนของตนจึงไม่ทาน - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระโพธิสัตว์อนุศาสน์(教化菩萨)

教化菩萨

     "การทานเจต้องกระทำให้รู้ซึ้งถึงเมตตา เห็นสัตว์ทุกชนิดเป็นเพื่อนของตนจึงไม่ทาน เมื่อทานเจเกิดจิตเมตตาแล้ว ย่อมมีปัญญาเพิ่มขึ้น เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์จะช่วยส่งเสริม"





อุดรูรั่วของเรือ เราจะเดินทางไกลได้ราบรื่นขึ้น - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา


พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา


    "เสบียงคืออะไร เสบียงก็คือกุศลต่างๆใช่หรือไม่ ยิ่งมีกุศลมาก การบำเพ็ญธรรมก็ยิ่งราบรื่นได้ เพราะว่าคนทุกคนมีเจ้ากรรมนายเวรเป็นของตนเอง เรากิน หมู ไก่ ปลา เข้าไป หมู ไก่ ปลา ก็เป็นเจ้ากรรมนายเวรของเรา เพราะพวกเขาตายโดยไม่ได้ยินยอมใช่หรือไม่ (ใช่) 

เราเอาเงินไปซื้อเขามา แล้วเขาก็มาเป็นอาหารของเรา เขายินยอมหรือเปล่า (ไม่ยินยอม) 
ทุบหัวปลา ปลาเจ็บไหม (เจ็บ) 
แทงคอหมู หมูเจ็บไหม (เจ็บ) 
ปาดคอไก่ ไก่เจ็บไหม (เจ็บ) 
ทำไมถึงรู้ว่าเขาเจ็บ เพราะว่าเขาร้อง ใช่หรือไม่ (ใช่) 

     เพราะฉะนั้นเราอยากที่จะบำเพ็ญธรรม อยากจะพายเรือธรรมให้ตลอดรอดฝั่ง จำเป็นต้องอุดรูรั่วของเรือก่อน คือการสร้างกรรมต่างๆนั่นแหละ โดยเฉพาะกรรมปากเป็นหลักใหญ่ เพราะว่าเรานั้นกินข้าววันละสามมื้อ บางคนกินรอบดึกอีก วันหนึ่งก็ สี่ ห้ามื้อ ใช่หรือไม่ (ใช่) ทุกๆมื้อเราก็กินเนื้อสัตว์ กินเนื้อคนอื่นเข้าไป เพราะฉะนั้นอุดรูรั่วของเรือ เราจะเดินทางไกลได้ราบรื่นขึ้น"





บทความที่ได้รับความนิยม