เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

นกแก้วดับไฟป่า - นิทานบำเพ็ญยุคโบราณ


นกแก้วดับไฟป่า - นิทานบำเพ็ญยุคโบราณ 


     ในอดีตกาล... บนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้อันหนาแน่น นับเป็นที่อยู่อาศัยอันร่มรื่นน่าอภิรมย์ ของบรรดาสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่มากมาย

ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง กลางฤดูร้อน อากาศร้อนอบอ้าว เกิดลมพายุใหญ่ พัดอยู่เป็นเวลานาน ต้นไผ่ในป่าเสียดสีกันจนเกิดไฟลุกไหม้ ประกอบกับแรงลมช่วยกระพือโหมพัดหนัก ไฟก็ยิ่งลุกลาม...ไม่นานก็กลายเป็นไฟป่าเผา ผลาญออกไปเป็นบริเวณกว้าง

ไฟป่าลุกลามต่อไปไม่หยุด...บรรดาสัตว์ใหญ่น้อยมากมายที่อาศัยอยู่ ในป่าไผ่บนภูเขาต่างตื่นตระหนก พากันหนีเอาชีวิตรอดอย่างโกลาหล ที่บินได้ ก็บินที่วิ่งได้ก็วิ่งสุดชีวิต ที่คลานได้ก็ลนลานคลานไปให้ถึงที่สุด น่าเวทนาก็แต่ เหล่าบรรดาลูกนกลูกสัตว์ที่เพิ่งจะเกิด ไม่สามารถจะขยับไปไหนได้ ล้วนต้องถูกไฟคลอกตายไปสิ้น

ขณะนั้นนกแก้วตัวหนึ่ง เมื่อเห็นฝุงสัตว์ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งที่กำลังวิ่งหนีกันอยู่ ต่างก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงจนหนีต่อไปไม่ไหวแล้ว มันรู้สึกร้อนใจอย่างยิ่ง

นกแก้วคิดว่า... "สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านึ้ ช่างเคราะห์ร้ายเสียจริง ๆ ถูกภัยคุกคามจนต้องพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่อาศัย พ่อลูกตายจาก กระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตหรือไม่ ช่างเป็นสภาพที่ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเสียเหลือเกิน เราควรจะทำอย่างไรดี ?"

สักครู่...เมื่อรวบรวมสติได้ มันจึงบินย้อนกลับไปยังลำธารน้ำเล็ก ๆ ที่ชายป่า พอไปถึงก็พุ่งตัวลงจุ่มในธารน้ำจนขนเปียกชุ่มทั้งตัว จากนั้นก็บิน กลับไปกระพือปีกสะบัดน้ำที่อยู่ในขนออกมารดไฟป่าที่กำลังไหม้อยู่

อนิจจา... ไฟป่าซึ่งลุกลามใหญ่โต กินอาณาบริเวณกว้างหลายร้อยไร่ มีหรือที่น้ำจากขนนกเพียงไม่กี่หยดจะหยุดยั้งมันได้ แต่สำหรับนกแก้วน้อย ๆ ตัวนี้ มันไม่คิดจะย่อท้อ

เพื่อที่จะนำหยดน้ำมาดับไฟป่า...มันบินกลับไปที่ธารน้ำเล็ก ๆ แล้วบิน กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากสิบเที่ยวเป็นร้อยเที่ยวพันเที่ยวโดยไม่ยอมหยุด

การกระทำของนกแก้วตัวนี้สะเทือนถึงฟ้าเบื้องบน ส่งผลให้เวชยันต์ทิพยวิมานอันเป็นที่ประทับของพระอินทร์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ครั้นพระอินทร์ ผู้เป็นราชาแห่งเทพทั้งปวงตรวจดูก็รู้ว่า บัดนี้ ณ เบื้องล่างมีนกแก้วที่กล้าหาญ มุ่งมั่นตัวหนึ่ง กำลังพยายามจะดับไฟป่าที่ลุกลามอยู่ทั่วภูเขา

พระองค์จึงเสด็จลงมายังที่เกิดเหตุ และตรัสแก่นกแก้วว่า..."เปลวเพลิงโหมไหม้แผ่กว้างไปไกลถึง 100 ลี้ ตัวเจ้าเป็นเพียงนกตัวเล็ก ๆ จะสามารถดับไฟได้อย่างไรเล่า ? จงเลิกล้มความตั้งใจเสียเถิด"

แต่นกแก้วกลับกราาบทูลตอบว่า..."มีสรรพสัตว์มากมายที่ดำรงชีวิตอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้ หากป่าไผ่ถูก เผาเป็นเถ้าธุลี พวกเขาก็ไร้ที่พักพิง และหากไฟยังคงลุกลามต่อไปไม่หยุด สัตว์อีกมากมายจะต้องล้มตายลงอย่างน่าเวทนา ข้าพเจ้าจะไม่ใส่ใจได้ อย่าไร? ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะมีกำลังไม่มาก ขอเพียงดับไฟป่านี้ได้ แม้จะต้อง เหนื่อยจนตายข้าพเจ้าก็ยินดี !"

กล่าวจบนกแก้วก็กราบทูลลา แล้วบินกลับไปที่ลำธารอีก พระอินทร์ ทรงตื้นตันพระทัยในเมตตาจิตอันหลั่งล้นของนกแก้วตัวน้อยยิ่งนัก จึงทรงบัญชาให้พระวิรุณเทพแห่งฝนโปรยปรายฝนลงมาอย่างหนัก ไม่นาน....ไฟป่าก็ มอดดับลง.






สละเลือดเนื้อช่วยเสือแม่ลูกอ่อน - นิทานบำเพ็ญธรรมยุคโบราณ


     ณ ชมพูทวีปในอดีต กัษัตริย์องค์หนึ่งมีพระโอรสอยู่ 3 พระองค์ ในบรรดาพระโอรสทั้งหมด เจ้าชายองค์สุดท้องเป็นผู้ที่มีพระทัยงดงามและ อ่อนโยนโดยเฉพาะทรงโอบอ้อมอารีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

วันหนึ่ง กษัตริย์เสด็จประพาสป่า พร้อมด้วยพระมเหสีและพระโอรส ทั้งสาม ตลอดจนข้าราชบริพารเหล่าขุนนางจำนวนมาก เมื่อตะวันบ่ายคล้อย องค์กษัตริย์ทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงมีพระดำรัสให้จัดที่ประทับใต้ร่มไม้ใหญ่ เพื่อให้ทุกคนได้พัก

แต่สาหรับพระโอรสทั้งสาม ซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ต่างทรงปรารถนาจะสัมผัสกับแมกไม้ธรรมชาติ จึงทรงพระดำเนินต่อเข้าไปใน ป่าลึก ณ.ที่นั้นพระโอรสทั้งสามได้ทอดพระเนตรเห็น แม่เสือนอนอยู่ในโพรง หญ้ามันเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นานและมีอาการอิดโรย

พระโอรสองค์ใหญ่จึงพูดว่า..."แม่เสือตัวนี้เพิ่งให้กำเนิดลูกเสือ ตัวเองออ่นระโหยสิ้นเรี่ยวแรง เคลื่อนไหว นี่คงไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน น้ำนมจึงเหึอดแห้ง ลูกเสือถึงได้ ร้องไม่หยุด ท่าทางทั้งแม่ทั้งลูกจะไม่รอดแน่ !"

พระโอรสองค์รองก็พูดว่า..."แต่น้องว่าสายตาที่แม่เสือจ้องมองดูลูกที่เกิดใหม่มันฉายแววแห่ง ความดุร้ายตามสัญชาติของสัตว์ป่า ดูทีท่าของมันแล้วเหมือนอยากจะกินลูก ของตัวเองอย่างนั้นล่ะ"

พระโอรสองค์สุดท้องจึงเอ่ยขึ้นว่า..."ถ้าเช่นนั้น เราจะช่วยชีวิตเสือแม่ลูกคู่นี้ใด้อย์างไรล่ะ"

พระเชษฐาทั้งสองหันมาตอบว่า..."ก็ต้องไปหาเนื้อสดมาให้มันเป็นอาหาร แต่คงไม่ง่ายหรอกนะ เพราะ ถ้าจะต้องไปฆ่าชีวิตสัตว์อึ่น เพึ่อช่วยอีกสองชีวิต มันช่างไม่เหมาะสมเลยจริงไหม ?" 

พระโอรสองค์สุดท้าย ก้มพระพักตร์ลง ทรงครุ่นคิดว่า..."ลำพังชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาก็ต้องประสบกับความทุกข์ ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ความหวังที่จะสามารถหลุดพ้น ให้ได้ไปเกิดในที่ที่ ดีกว่า ช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน นี่ถ้าหากแม่เสือต้องมากินลูกของ ตัวเองเพราะไม่อาจจะทนต่อความหิวโหยได้แล้วละก็ เท่ากับก่อกรรมหนักใน ชีวิต ประหนึ่งเดินอยู่ในที่มืด แล้วยังถลำลึกลงไปสู่ที่มืดยิ่งกว่า ช่างน่าสงสาร เสียจริง ๆ"

ทรงพิจารณาเช่นนี้แล้วจึงกล่าวกับพระเชษฐาทั้งสองว่า..."เสด็จพี่ทั้งสอง เสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถิด หม่อมฉันขออยู่ต่อสัก ประเดี๋ยว แล้วจะตามเสด็จไปทีหลัง"

ครั้นพระเชษฐาทั้งสองพระองค์เสด็จไปแล้ว พระโอรสองค์สุดท้องจึง ทรงก้าวเข้าไปประทับนั่งข้างแม่เสือ พร้อมกับยื่นพระกรด้วยทรงประสงค์ให้ มัน กัด กิน

แต่ทว่าแม่เสืออ่อนกำลังเต็มที ไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปาก พระโอรส เห็นเช่นนั้น จึงหักกิ่งไม้มาท่อนหนึ่งแล้วใช้ปลายแหลมแทงลงที่ฝาพระหัตถ์ ขณะนั้นพระโลหิตสดๆ ไหลรินหยดลงในปากของแม่เสือไม่ขาดสาย

ฝ่ายพระโอรสองค์ใหญ่และองค์รอง ทรงดำเนินล่วงหน้าไปนานแล้ว ไม่เห็นพระอนุชาตามมาสักที จึงทรงทบทวนถึงเรื่องที่สนทนากันแล้วทรงดำริ ว่า ยามปกติพระอนุชาองค์สุดท้องมีพระเมตตาเพียงไร ก็ถึงกับสะดุ้งรีบ ย้อนกลับไปตามหา

เมื่อไปถึงที่โพรงหญ้า ก็พบแต่เศษพระอัฐิและชิ้นพระภูษาเปื้อนพระ โลหิตอยู่บนพื้น พระโอรสทั้งสองพระองค์ทรงทราบทันทีว่า พระอนุชาตัดสิน พระทั ยอุทิศพระองค์เอง เพื่อช่วยชีวิตเสือสองแม่ลูกเสียแล้ว !

ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระกรรแสงโฮและรีบเสด็จกลับไปกราบทูล พระชนกพระชนนี ทันทีที่องค์กษัตริย์และ พระมเหสีทรงทราบ ประ หนึ่งดังถุก สายฟ้าฟาด จึงทรงสิ้นพระสติไปชั่วขณะ

ครั้นทรงฟื้นคืนพระสติแล้ว ก็รีบเสด็จไปยังที่เกิดเหตุทรงเก็บพระอัฐิ ที่เหลือ พร้อมด้วยชิ้นพระภูษากลับสู่พระนคร ต่อมาได้ทรงมีพระบรมราช โองการให้สร้างพระสถูป เพึ่อบรรจุพระอัฐิธาตุ

เวลานั้นไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างแซ่ซ้องสดุดีว่า..."พระราชโอรสองค์น้อยทรงบำเพ็ญมหาโพธิสัตว์ธรรม พระทัยอันเปี่ยมด้วยมหาเมตตาการุณย์เช่นนี้ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน"





วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก - นิทานปล่อยสัตว์

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก


     ในสมัยราชวงศ์หมิง มีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งนามว่า "หวงจี่ซื่อ" แม้ว่าในขณะนั้นแผ่นดินจะร้อนระอุไปด้วยเภทภัยรอบด้านผู้คนล้มตายลงอย่างน่าอนาถ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นสร้างความดีโดยมิได้หวั่นไหวแม้แต่น้อย จิตใจของ หวงจี่ซื่อ มีแต่ความเมตตาห่วงใยเอื้ออาทรต่อทุกชีวิต

     เขาทราบว่าบนภูเขามีพระสงฆ์ผู้บรรลุธรรมสูงสุด สามารถหยั่งรู้ฟ้าดินและเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหลายในโลก หวงจี่ซื่อ ผู้บำเพ็ญะรรมจึงเดินทางขึ้นเขาเพื่อขอคำชี้แนะจากท่านเขาได้กราบสมัสการถามพระสงฆ์องค์นั้นว่า...

     "ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้สูงยิ่งด้วยบารมีธรรม เวลานี้ผู้คนนับล้านล้มตายลงมากมาย เนื่องด้วยภัยพิบัตินานับประการ ยากที่จะมีใครรอดพ้นได้ พระคุณเจ้าได้โปรดเมตตาชี้แนะวิธีที่สามารถจะหยุดยั้งมหันตภัยนั้นให้ได้ทันการด้วยเถิด”" 

พระสงฆ์ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาดวงหน้าของท่านมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า... "“มีอย่างเดียว อย่าฆ่าสัตว์ จงช่วยกันปลดปล่อยชีวิตสัตว์ทั้งหลายเถิด"” กล่าวจบท่านก็หลับตาลงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกเลย





ตายเหมือนนก - นิทานปล่อยสัตว์


     ในมณฑล เจียง ซู มีชายหนุ่มผู้หนึ่ง แซ่หลี่ เป็นคนชอบโอ่อ่าแต่งกายหรูหราราวกับลูกเศรษฐี นิสัยของเขาฝักใฝ่แต่การกระทำที่ผิดๆ อยู่ตลอดเวลา บ้านของนายหลี่อยู่ติดริมน้ำซึ่งบริเวณนั้นชาวบ้านในอดีตได้ปลูกต้นไผ่ไว้เพื่อช่วยป้องกันมิให้น้ำพัดดินขอบตลิ่งพัง ด้วยใบที่เขียวชอุ่มและหนาแน่นของต้นไม้ไผ่ริมน้ำ สร้างความร่มรื่นจึงเป็นที่ให้บรรดานกทั้งหลายมาสร้างรังอยู่กันเป็นจำนวนมาก

     เหตุนี้เองคนหนุ่มที่คึกคะนองอย่างนาย หลี่ จึงคิดสร้างปืนไปยิงนกด้วยตนเองตั้งแต่ยังเป็นเด็กวัยรุ่น ครั้นพอโตขึ้นก็ชอบคบหาสมาคมกับพวกนายทหาร นายหลี่และเพื่อนทหารมักชวนกันออกไปล่าสัตว์ยิงนกโดยถือเป็นกีฬาที่ชื่นชอบสนุกสนาน

     ตลอดเวลาที่ผ่านไปนกที่ถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของนายหลี่มีจำนวนนับเป็นหมื่นๆ ตัวนายหลี่แม้อายุล่วงเข้าสู่วัยชราแล้วเขาก็ไม่เคยคิดจะเลิกเบียดเบียนเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น 

     จนกระทั่งเมื่อนายหลี่อายุได้ 50 ปี ในตอนเช้าวันหนึ่งเขาก็เกิดอาการผวาตกใจสะดุ้ง ตื่นยกมือยกเท้าขึ้นเตะถีบปัดไปปัดมาพร้อมกับร้องตะโกนว่า “มีนกเยอะแยะไปหมด มันมาจิกหน้าจิกตาข้า เจ็บ เจ็บจนสุดจะทนแล้ว” นายหลี่ร้องไปพลางมือก็ปัดหลังปัดไหล่ ราวกับจะปิดป้องบางสิ่งบางอย่าง แต่คนทั้งบ้านไม่มีใครเห็นอะไรเลย เขาแหกปากร้องดังลั่นอย่างน่ากลัว เป็นเช่นนี้อยู่ทั้งวันทั้งคืนจนเส้นเอ็นมือและเท้าขอดบวมไปทั้งตัว แขนขาเป็นอัมพาตหงิกงอ ไม่สามารถยืดตัวลุกขึ้นยืนได้ อาการประหลาดของนายหลี่ดูไม่ต่างอะไรกับนกที่ถูกยิงและใกล้จะตาย

นายหลี่ผู้ชอบกีฬาเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น นอนทรมานอยู่หลายวันแล้วจึงขาดใจตายลงในที่สุด





วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ความเมตตา...แห่งพระศากยมุนีพุทธเจ้า ครั้งเสวยพระชาติพญาวานรโพธิสัตว์ - มหากปิชาดก


มหากปิชาดก เรื่องพญาวานร

     ครั้งหนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพญาวานร ขณะที่กำลังห้อยโหนอยู่ในป่า ก็ได้พบกับพราหมณ์คนหนึ่ง ตกอยู่ในหลุม (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) จึงเกิดความสงสาร เนื่องด้วยพระโพธิสัตว์เจริญพระเมตตามหาบารมีมาแล้วหลายชาติ

     ความมีอยู่ว่า...พราหมณ์หน่อเทวทัต ได้ตามหาโคที่หาย จนหลงไปในป่าลึก หาทางออกไม่ได้ มีความหิวโหยเป็นกำลัง ไปพบต้นอินทผัมกำลังมีผลสุก จึงปีนขึ้นไปบนต้น เพื่อเก็บผลสุกมาแก้หิว ด้วยความรีบร้อน จึงพลัดตกจากต้นอินทผลัม และหล่นลงไปในเหวขึ้นมาไม่ได้

     พญาวานรโพธิสัตว์ผ่านไปทางนั้น เห็นพราหมณ์ตกลงไปในเหวลึก ก็มีความสงสาร รับปากว่าจะช่วยให้ขึ้นมาจากเหว และนำไปส่งให้พ้นป่าลึกจนถึงต้นทางที่จะกลับบ้าน

     พระโพธิสัตว์เตรียมที่จะกระโดดลงไปในหลุม เพื่อช่วยชีวิตของพราหมณ์ แต่ยังไม่แน่ใจว่าพระองค์จะมีแรงที่จะอุ้มพราหมณ์ออกมาจากหลุมได้หรือไม่ แล้วพระองค์ก็เกิดปัญญาว่า ควรที่จะทดสอบกำลัง ด้วยการยกก้อนหินที่วางอยู่ข้างๆหลุมแห่งนั้น เมื่อก้อนหินที่หนักเหล่านี้ยกขึ้นมาได้ ก็ย่อมที่จะแสดงให้เห็นว่า พละกำลังของตนเองนั้นมีเพียงพอ สำหรับการช่วยเหลือพราหมณ์นั้น

     พระโพธิสัตว์ปีนลงไปในหลุมอย่างกล้าหาญ แล้วอุ้มพราหมณ์นั้นขึ้นมาในสู่ที่ๆ ปลอดภัย เมื่อได้นำพราหมณ์ขึ้นจากเหวลึกได้แล้ว ก็มีความอ่อนเพลีย เพราะต้องใช้กำลังมาก จึงขอให้พราหมณ์ช่วยพิทักษ์ตน เพื่อจักได้นอนเอาแรง สักงีบหนึ่ง แล้วล้มตัวหลับบนตักพราหมณ์

     ฝ่ายพราหมณ์เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพญาวานรโพธิสัตว์ขึ้นมาจากเหวลึกสู่ที่ปลอดภัยดังนี้แล้ว นอกจากมิได้มีจิตสำนึกตอบแทนคุณ ภายในจิตกลับมีความคิดไม่ดี ประสงค์ร้ายเอาชีวิตต่อพญาวรโพธิสัตว์อีกด้วย

     "วานรนี้ย่อมเป็นอาหารของมนุษย์ได้ เช่นเดียวกับเนื้อของสัตว์ประเภทอื่นๆในป่า ถ้าอย่างไรเมื่อเราหิวขึ้นมาแล้วเราจะฆ่าวานรนี้กินเป็นอาหาร เมื่อกินอิ่มแล้วจะเอาเนื้อที่เหลือเป็นเสบียงในการเดินทาง เราก็จะสามารถข้ามพ้นทางทุรกันดารไปได้" นึกได้ดังนั้นแล้วเขาก็ยกก้อนหินทุ่มลงบนศรีษะของพญาวานรโพธิสัตว์

     ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผุดลุกขึ้น ทั้งๆที่ตัวอาบไปด้วยเลือด ได้จ้องมองชายคนนั้นด้วยดวงตาทั้งสองอันคลอไปด้วยน้ำตา ท่านพญาวานรก็ได้พบว่า ตัวเองกำลังจะตายในไม่ช้า เมื่อรู้ความจริงว่าจิตของพราหมณ์ท่านนั้นเป็นอย่างไร พญาวานรเองก็มิได้ถือโทษโกรธเคืองประการใดไม่ เนื่องด้วยพระโพธิสัตว์ท่านได้สร้างพระบารมีในการให้อภัยมาดีแล้ว จึงได้ตรัสกับพราหมณ์ผู้นั้นว่า "สมควรแล้วหรือ ที่ท่านจะฆ่าเรา เมื่อเราเพิ่งช่วยชีวิตท่าน"

     "นายอย่าทำข้าพเจ้าเลย ขอท่านจงมีความเจริญ แต่ท่านได้ทำกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้ และท่านก็รอดตายมีอายุยืนมาได้ สมควรจะห้ามปรามคนอื่น แน่ะท่านผู้กระทำกรรมอันยากที่บุคคลจะทำลงได้ น่าอดสูใจจริงๆ ข้าพเจ้าช่วยท่านขึ้นจากเหวลึกซึ่งยากจะขึ้นได้เช่นนี้ ท่านเป็นดุจข้าพเจ้านำมาจากปรโลก ยังสำคัญตัวข้าพเจ้าว่าควรจะฆ่าเสีย ด้วยจิตอันเป็นบาปธรรมซึ่งเป็นเหตุให้ท่านคิดชั่ว ถึงท่านจะไร้ธรรม เวทนาอันเผ็ดร้อนก็อย่าได้ถูกต้องท่านเลย และบาปกรรมก็อย่าได้ตามฆ่าท่านอย่างขุยไผ่ฆ่าไม่ไผ่เลย แน่ะท่านผู้มีธรรมอันเลว หาความสำรวมมิได้ความคุ้นเคยของข้าพเจ้าจะไม่มีอยู่ในท่านเลย มาเถิดท่านจงเดินไปห่างๆเรา พอมองเห็นหลังกันเท่านั้น"

     พระโพธิสัตว์ระลึกได้ว่า พราหมณ์นั้นหลงป่ามา และคงไม่อาจกลับบ้านเองได้โดยปราศจากผู้นำทาง ความเมตตาของพระโพธิสัตว์นั้นไม่สิ้นสุด พญาลิงยอมกัดฟัน ทั้งๆที่หัวโชกชุ่มไปด้วยเลือดอยู่ และพยายามนำพราหมณ์ออกจากป่า ถึงแม้ว่าเลือดแห่งพญาวานรจะไหลริน ดั่งสายนธี ถึงแม้นว่าจะเจ็บปวดปานใดก็ตาม ในที่สุดท่านพญาวานรก็หาทางให้พราหมณ์ออกจากป่าแห่งนั้นได้

     เพียงแค่เสวยพระชาติเป็นพญาวานร พระพุทธองค์ยังทรงมีพระมหาเมตตา มหากรุณา มหามุทิตา มหาอุเบกขา และพระปัญญาญาณถึงปานนั้น ลองพิจารณาดูเถิดว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงสร้างบารมีจนบริบูรณ์ และพระองค์ท่านได้ตรัสรู้แล้ว จะทรงมีพระมหาเมตตาคุณ มหากรุณา และ พระปัญญาคุณที่ยิ่งใหญ่สักปานใด

     ขอให้ทุกๆท่านพึงพิจารณาแลยึดเป็นหลักในการดำเนินปฏิบัติบำเพ็ญ ตามรอยพระจริยวัตรแห่งองค์พระพุทธะ โพธิสัตว์ เทอญ



ชาดกเรื่องนี้ พึงเห็นได้ว่า พญาวานรโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบุญบารมีครบทั้ง ๑๐ ทัส กล่าวคือ


ลักษณะการบำเพ็ญเพียร


ประเภทของบารมี

ความเมตตาปรานีต่อพราหมณ์ที่ตกอยู่ในเหวลึกนั้น ได้ชื่อว่าเมตตาบารมี
ก่อนที่จะนำพราหมณ์ขึ้นมาจากเหว พญาวานรได้ทดสอบกำลังของตนก่อนนั้น เป็นการใช้ปัญญา 
เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ นับว่าได้สร้างสม 
ปัญญาบารมี
ด้วยปณิธานที่จะให้พราหมณ์ได้พ้นขึ้นมาจากเหว ต้องใช้ความเพียรไม่ใช่น้อย จึงเป็นการสร้างวิริยบารมี
การถูกทำร้ายในขณะที่กำลังหลับ และผู้ทำร้าย ก็คือผู้ที่ตนได้ช่วยด้วยความเมตตา และพากเพียร นั้นเอง 
ถึงกระนั้นพญาวานรก็หาได้โกรธเคือง กลับอดทนต่อความเจ็บปวดไว้ได้ ดังนี้เป็น 
ขันติบารมี
การวางเฉยต่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปเหมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นอุเบกขาบารมี
ได้นำพราหมณ์ออกจนพ้นจากป่า ทั้ง ๆ ที่เลือดตกยางออกเช่นนี้ 
เป็นการเสียสละเป็นการให้อภัยที่ยากจะหาผู้เสมอเหมือนได้ ดังนี้เป็น 
ทานบารมี
ตลอดเวลานับแต่ถูกทำร้ายเป็นต้นมา พญาวานรไม่ได้เอ่ยวาจาหรือแสดงกิริยาท่าทางส่อไป 
ในทางตัดพ้อต่อว่าเลย คงรักษากายวาจาไว้ได้อย่างปกติ นับว่าเป็น
สีลบารมี
ความไม่โกรธ ไม่ตัดพ้อต่อว่า คงรักษากายวาจาได้เป็นปกติ ก็เป็นอันว่าตลอดเวลานั้น พ้นจากกิเลสกาม 
อันเป็นเครื่องเศร้าหมอง จึงเป็น 
เนกขัมมบารมี
ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างแน่นอน ในอันที่จะนำส่งพราหมณ์ให้พ้นจากป่า เช่นนี้เป็นอธิฏฐานบารมี
การกระทำที่สมกับวาจาที่ได้ลั่นไว้ว่า จะช่วยให้ขึ้นจากเหว พาส่งให้พ้นจากป่านั้น เรียกว่า

สัจจบารมี


วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ร้านอาหารเจประดุจครัวสวรรค์...พึงเอาใจใส่เรื่องราวต่อไปนี้ - พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธจี้กง เมตตา


     "ร้านอาหารเจได้อำนวยความสะดวกแก่ผู้บริโภคไม่น้อย นับว่ามีบุญกุศล เดี๋ยวนี้ร้านอาหารเจมีผุดขึ้นมากเหมือนหน่อไม้หลังฝน เป็นการยืนยันว่าผู้ทานเจมีมากเพิ่มขึ้นทุกวัน อาตมาก็หวังจะให้ร้านอาหารเจเหล่านี้ โปรดเอาใจใส่ดังต่อไปนี้

๑. ต้องล้างผักให้สะอาด
เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับความสดของผัก เพื่อเพิ่มพูนพลานามัย เป็นการหล่อเลี้ยงรากธรรมให้ยืนยาว

๒. ราคาควรต่ำสุด
     เป็นการช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ผู้บริโภคได้มีความสะดวกสบาย ราคาประหยัด ทั้งเป็นการชักจูงผู้บริโภคทั่วไปได้เข้ามารับบริการด้วย
     เพราะฉะนั้นร้านอาหารเจต้องสะอาด ราคามวลชน ใ้ห้ผู้บริโภคแข็งแรง เป็นการประหยัดเงิน เท่ากับได้ช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หากทำได้เช่นนี้ ก็เปรียบประดุจครัวสวรรค์ เป็นการรวบรวมผู้ปฏิบัติธรรมให้มาสู่แหล่งเดียวกัน รับประทานเจด้วยกันเป็นการสะดวกแก่ผู้ปฏิบัติธรรมจะออกไปหารับประทานภายนอก นับว่าเป็นการสร้างบุญกุศลมหาศาล"

...................................................................................................
หนังสือเส้นทางอริยะ บทที่ ๑๑ แปลโดย ทพ.บัญชา ศิริไกร





วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ลูกหลานกำไลหยก - นิทานปล่อยสัตว์


ลูกหลานกำไลหยก - นิทานปล่อยสัตว์

     ในสมัยราชวงศ์ฮั่น ณ ดินแดนแถบทิศเหนือบนเทือเขา หัวอินซัน สามีภรรยาสกุล หยาง เป็นชาวไร่ชาวนาได้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง ทั้งสองตั้งชื่อให้ว่า "หยางเปา"

     หยางเปา เกิดในท่ามกลางธรรมชาติที่แวดล้อมด้วยทิวเขาอันเงียบสงบ ซึ่งกล่อมเกลาจิตใจของเด็กน้อยให้งดงามละเอียดอ่อน ครั้นเติบโตเจริญวัยมีอายุได้ 9 ขวบ เขามีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี น่ารักเฉลียวลาดไม่ว่าใครได้พบเห็นก็รักใคร่เอ็นดู

     วันหนึ่งขณะที่ หยางเปา กำลังเดินเล่นอยู่ตามไหล่เขาก็ได้พบนกกระจิ๊บตัวหนึ่งได้รับบาดเจ็บตกอยู่ที่พื้นมิหนำซ้ำยังถูกฝุงมดรุมกัดจวนจะสิ้นใจ หนูน้อยรู้สึกสงสารจับใจจึงรีบตรงเข้าไปประคองนกน้อยนั้นทันที แล้วค่อยๆ ปัดมดออกไปจนหมด

     เมื่อกลับถึงบ้านเขาก็เก็บกิ่งไม้ไผ่มาทำกรงเพื่อให้นกพักอาศัย ทุกๆ วันเด็กน้อยจะเก็บดอกไม้สีเหลืองซึ่งเป็นยาสมุนไพรมารักษา เวลาผ่านไปไม่นานนกกระจิ๊บตัวนั้นก็หายดีเป็นปกติ มีขนขึ้นเต็มดูสวยงามดังเดิม เขาจึงปล่อยให้มันบินขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง

     อยู่มาคืนหนึ่ง หยางเปา ได้ฝันไปว่า มีกุมารน้อยล่องลอยจากฟ้าลงมาคารวะขอบคุณเขาและกล่าวว่า...“"ท่านผู้มีพระคุณ..ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระองค์ธรรมมารดาเจ้า ขณะที่กำลังจะกลับสู่สวรรค์ได้ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ นับว่าโชคดีที่ท่านผู้มีเมตตามาพบและช่วยเหลือข้าพเจ้าเอาไว้ พระคุณครั้งนี้ตอบแทนไม่หมด แต่วันนี้ข้าพเจ้ามามอบกำไลหยก 4 อัน เพื่อแสดงความคารวะต่อท่าน ต่อไปภายหน้าลูกหลานในวงศ์ตระกูลของท่านจะมีแต่ความสะอาดบริสุทธิ์เจริญรุ่งเรือง พวกเขาจะรับใช้แผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต”"

     วันเวลาผ่านไป เมื่อหนูน้อยหยางเปาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นและเป็นสุข เขามีอายุยืนยาวได้เป็นลูกหลานถึง 4 รุ่น ได้แก่ หยางเจิ้น รุ่นลูก หยางปิ้ง รุ่นหลาน หยางซื่อ รุ่นเหลน หยางปิ้ว รุ่นลูกของเหลน ลูกหลานทั้ง 4 รุ่นล้วนได้เป็นใหญ่เป็นโต ข้าราชการตระกูลหยางทุกคน รับใช้ชาติบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอดจนมีชื่อเสียงเกียรติคุณขจรขจายไปทั่วแผ่นดิน



ผลของเมตตาจิต - นิทานปล่อยสัตว์


ผลของเมตตาจิต - นิทานปล่อยสัตว์

     คนแซ่ "ฟั่น" อาศัยอยู่ในมณฑล เจียงซู ภรรยาของเขาได้ป่วยเป็นวัณโรค อาการหนักมากใกล้จะตายแต่มีหมอแนะนำให้ใช้มันสมองของนกกระจอก 100 ตัว มากินเป็นยาและต้องกินให้ได้ครบตามจำนวนภายใน 21 วัน จะขาดไปสักตัวเดียวก็ไม่ได้ มิเช่นนั้นการรักษาก็จะไร้ผล

     นายฟั่น ผู้เป็นสามีจึงรีบออกไปหาซื้อนกกระจอกจนได้ครบ 100 ตัว เขาตั้งใจจะนำมาใช้รักษาภรรยาผู้เป็นที่รักยิ่งของตนแต่เมื่อภรรยาของเขาทราบก็โกรธเคืองมาก และพูดขึ้นว่า "ข้าพเจ้าคนเดียวก็มีชีวิตเดียว แต่เพียงเพื่อรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ กลับต้องทำลายชีวิตผู้อื่นถึงหนึ่งร้อยชีวิต เช่นนี้แล้วข้าพเจ้ายอมตายเสียดีกว่า นกกระจอกแม้แต่ตัวเดียวข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมให้ท่านฆ่า หากแม้นว่าท่านรักข้าพเจ้าอย่างแท้จริง ก็จงปล่อยนกทั้งหมดไปเถิด ทำได้เช่นนี้ข้าพเจ้าถึงจะสบายใจ”"

     ฝ่ายสามีเมื่อได้ฟังคำวิงวอนของภรรยาแล้วก็ใจอ่อน เขาจึงตัดสินใจปล่อยนกไปทั้งหมด หลังจากนั้นไม่นานนักภรรยาของเขาก็มีอาการดีขึ้น โรคร้ายก็ค่อยๆ ทุเลาลงและหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ โดยที่นางไม่ได้กินยาใดๆ เลย

     ในปีต่อมา ภรรยาของเขาก็ได้ให้กำเนิดลูกชายที่น่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้กับสองสามีภรรยาอย่างมากก็คือ ที่กลางฝ่ามือของทารกน้อยมีรอยปานดำเป็นรูปนกปรากฏชัดอยู่ทั้ง 2 ข้าง จะเห็นได้ว่า ผลานิสงส์ของคุณความดีที่ทั้งคู่ปล่อยนำไปถึงหนึ่งร้อยชีวิต ไม่ใช่เพียงช่วยให้ภรรยาของเขาหายป่วยแต่ยังได้ลูกชายอีกคนหนึ่งด้วย






วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กุศลผลบุญของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว (ปริเฉทที่ ๗) - กษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร (地藏菩薩本願經)



ปริเฉทที่ ๗ กุศลผลบุญของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว - กษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร

     ในขณะนั้น พระกษิติครรภโพธิสัตว์ ได้กราบบังคมทูลพระพุทธองค์ว่า "ข้าแต่พระตถาคตเจ้า ข้าบาทได้พิจารณาสำรวจดูการกระทำของสรรพสัตว์ในโลกียโลกแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นไปในทางอกุศลแทบทั้งสิ้น แม้บางโอกาสพวกเขาจะได้สร้างความดีกันบ้าง ก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิด และจะมีกุศลจิตเกิดขึ้นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ยังไม่ทันที่จะบังเกิดอานิสงส์ตอบสนอง พวกเขาก็พากันถดถอยเลิกปฏิบัติเสียแล้ว

      บุคคลเหล่านี้จึงเป็นเหมือนผู้ที่แบกก้อนศิลาอันหนักอึ้ง แล้วเดินย่ำไปบนดินเลน ยิ่งเดินก็ยิ่งหนักทุก ๆ ย่างก้าวเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ถ้าแม้นว่าพวกเขามีโอกาสได้พบพานผู้มีปัญญาและเปี่ยมด้วยบุญบารมีมาช่วยปลดเปลื้องก้อนศิลาหนักลงจากหลัง แล้วพยุงเขาไปจนถึงแผ่นดิน ท้ายที่สุดยังคอยเตือนสติมิให้เขาหวนกลับไปเดินในโคลนตมอีกเช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่าได้ฉุดช่วยให้พวกเขาพ้นจากความทุกข์ยากโดยสมบูรณ์

     ฉะนั้นการอบรมสั่งสอนเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้เข้าใจและสามารถได้รับการถ่ายทอดหลักสัจจธรรมอันเที่ยงแท้เป็นเหตุให้พวกเขาละจากทางชั่วกลับขึ้นมาเดินอยู่บนวิถีแห่งกุศลธรรมด้วยวิธีนี้จึงจะเป็นการนำพาสรรพสัตว์เหล่านั้นออกจากทางแห่งอบายภูมิได้อย่างแท้จริง
     "ข้าแต่พระคถาคตเจ้าปุถุชนมากมายที่มีสันดานชั่วฝังแน่นในจิตใจนั่นเป็นเพราะพวกเขาได้เริ่มต้นจากการกระทำความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วไม่ยอมแก้ไขปรับปรุงตัวเองกระทั่งมันค่อย ๆ สะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นการสร้างบาปใหญ่มหันต์ บุคคลเล่านี้เมื่อใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิตพ่อแม่พี่น้อง จงเร่งสร้างบุญสร้างกุศลเพื่อเป็นการนำทางให้แก่ดวงวิญญาณของเขา"


     โดยเฉพาะสมควรอย่างยิ่งที่จะจุดประทีปน้ำมันและเครื่องหอมเพื่อถวายสักการบูชาต่อเบื้องพระพักตร์ พระพุทธปฏิมา พร้อมกับสวดท่องนามของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ผู้ที่กำลังจะสิ้นใจเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วสามารถจดจำติดตรึงไว้ในจิตญาณของตน แม้ว่าบาปกรรมทั้งหลายที่สรรพสัตว์นั้นก่อขึ้นจะเป็นปัจจัยนำพาให้พวกเขาต้องตกล่วงลงสู่นรกภูมิ แต่ถ้าหากในครอบครัวของเขามีบุคคลใดบุคคลหนึ่งตั้งใจปฏิบัติธรรม ถือศีลกินเจ สร้างบุญสร้างกุศลอุทิศให้แก่พวกเขา เช่นนี้ก็ยังจะสามารถช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้

     ประการสำคัญ ถ้าภายใน 49 วันหลังจากที่บุคคลผู้นั้นตายไป หากบรรดาญาติพี่น้องพยายามบริจาคทานสร้างบุญสร้างกุศลแทนผู้ตายให้มากที่สุด ก็จะสามารถฉุดช่วยดวงวิญญาณของเขาให้รอดพ้นจากอบายภูมิ หรืออาจจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็จะทำให้บุคคลในครอบครัวพลอยได้รับอานิสงส์ผลบุญพร้อมกันไปด้วย


     เหตุฉะนี้ ข้าพเจ้าขอให้บรรดาเทพพรหมทุกหมู่เหล่าจงโปรดช่วยกันตักเตือนมวลมนุษย์ในโลกียโลกว่า ก่อนที่วาระสุดท้ายแห่งชีวิตจะมาถึง ลมหายใจกำลังจะหมดสิ้นพวกเขาจำต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ จงอย่าสร้างบาปกรรมใด ๆ จงอย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพื่อเซ่นไหว้ภูตผีปีศาจ หรือบวงสรวงอ้อนวอนเทพยดาเจ้าป่าเจ้าเขาให้ช่วยโดยเด็ดขาด

     เพราะเหตุใดหรือ? ก็เพราะการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาเซ่นไหว้ภูตผี ล้วนแต่ไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ แก่ผู้ตายเลยตรงกันข้ามซ้ำร้ายกลับจะเป็นการเอาหนี้สินบาปเวรไปเพิ่มให้กับวิญญาณผู้ตายอีก

     หากบุคคลใด เป็นผู้ที่มีบุญกุศลเพียงพอที่จะได้ไปเกิดเป็นมนุษย์หรือจะได้ไปสู่สุคติภพ แต่ทว่าก่อนสิ้นใจหรือในงานศพ ญาติพี่น้องได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อทำพิธีเซ่นไหว้และจัดเลี้ยง เช่นนี้แล้วกลับจะทำให้วิญญาณของสัตว์ที่ถูกฆ่าเกิดความอาฆาตพยาบาทโกรธแค้น ผูกใจเจ็บคนที่ตาย อันจะเป็นเหตุทำให้วิญญาณของบุคคลนั้นถูกหน่วงเหนี่ยวไว้จนไม่สามารถไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ หรือหากขณะที่มีชีวิตอยู่ผู้ตายไม่เคยได้สร้างบุญกุศลใด ๆ ไว้เลย ก็จะยิ่งทำให้เขาต้องถูกเพิ่มโทษทัณฑ์ในนรกหนักซ้ำลงไปอีก ทั้งนี้ก็เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของญาติพี่น้องนั่นเอง

     เปรียบเสมือน คนที่อดข้าวมาแล้ว 3 วัน แต่ยังต้องแบกสัมภาระหนักถึงหมื่นชั่งไว้บนหลัง ครั้นกลับถึงบ้านจวนเจียนจะสิ้นแรงอยู่แล้ว ยังถูกคนในบ้านบังคับให้แบกภาระเพิ่มเข้าไปอีก
     "ข้าแต่พระคถาคตเจ้าข้าบาทได้พิจารณาเห็นถึงวิสัยของปุถุชนในโลกียในโลกียโลกดังนี้แล้วขอแต่เพียงพวกแหล่านั้น ได้กระทำคุณงามความดีตามหลักธรรมคำสอนในศาสนาของตน ไม่ว่าจะมากน้อยเท่าไรก็ตามกุศลผลบุญทั้งหมดก็จะต้องเป็นของเขาเอง หาใช่จะตกไปเป็นของคนอื่นไม่"



     ครั้นพระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้ตรัสถึงตรงนี้ ณ ที่นั้นได้มีนักพรตอาวุโสผู้ซึ่งสำเร็จญาณชั้นสูงในอดีตกาลองค์หนึ่งมีพระนามว่า "ต้าปั้น" ท่านเป็นผู้ที่ได้สำแดงกายไปโปรดสัตว์ทั่วสากลจักรวาล

     ในกาลนั้นท่านก็ได้ขอประทานโอกาสเข้ากราบทูลถามพระกษิติครรภโพธิสัตว์ว่า "ข้าแต่พระโพธิสัตว์เจ้าปุถุชนในโลกเมื่อตายไปแล้วหากครอบครัวของเขาได้สร้างบุญกุศลต่าง ๆ โดยกินเจรักษาศีลปฏิบัติธรรม ถวายภัตตาหารเจแด่พระภิกษุ นักบวช นักพรต ผู้ทรงศีล พร้อมกับบริจาคทรัพย์สิ่งของออกเป็นทานเมื่อกระทำเช่นนี้แล้วกุศลผลบุญนั้นจะสามารถปลดปล่อยจิตญาณของผู้ตายให้รอดพ้นจากอบายภูมิหรือไม่ ? พระเจ้าข้า"

     พระกษิติครรภโพธิสัตว์ได้ตรัสตอบว่า " ดูก่อน...ท่านผู้อาวุโสนอกเหนือจากอานิสงส์ผลบุญที่ญาติพี่น้องของผู้ตายได้สร้างไว้ดังกล่าวแล้ว การได้สวดท่องพระนามของพระพุทธเจ้าหรือพระนามของพระโพธิสัตว์องค์ใดองค์หนึ่งให้ผู้ที่กำลังจะสิ้นใจได้ยิน หากบุคคลผู้นั้นมีสติระลึกได้ถึงอำนาจพระพุทธคุณ ไม่ว่าเขาจะมีทุกข์หรือไม่มีบาปหรือไม่ก็ตามจิตญาณของเขาก็จะถูกปลดปล่อยออกจากร่างไปได้โดยสงบ"


     หากบุคคลใดขณะมีชีวิตอยู่สร้างกรรมชั่วไว้มากกว่ากรรมดี แต่เมื่อใกล้จะตายญาติพี่น้องได้ทำบุญสร้างกุศลอุทิศให้แก่เขา เช่นนี้แล้วหากบุญกุศลทั้งหลายมี 7 ส่วนผู้ตายจะรับ 1 ส่วน อีก 6 ส่วน ญาติพี่น้องผู้ที่กระทำจะได้รับผลบุญนั้นเอง

     เหตุฉะนี้ หากบุคคลใดสามารถฉวยโอกาสในยามที่มีชีวิตอยู่และสังขารร่างกายยังแข็งแรงสมบูรณ์ดี มารีบเร่งบำเพ็ญธรรมสร้างกุศลเสียแต่เนิ่น ๆ เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง เขาผู้นั้นก็จะได้รับบุญกุศลที่ตนเองทำไว้ทั้งหมด

     อนิจจังไม่เที่ยง....สักวันหนึ่งเมื่อตายไป ถึงเวลาที่ยมฑูตมาเอาตัวไปไว้ยังสถานที่พักวิญญาณแล้ว ในขณะนั้นวิญญาณทั้งหลายต่างก็ไม่อาจรู้ได้ว่าตนมีบุญหรือบาปติดตัวอยู่มากน้อยเท่าไร ทั้งนี้เพราะคนที่ตายแล้วภายใน 49 วัน วิญญาณของเขาก็เหมือนกับคนที่หูหนวกตาบอด ยังไม่สามารถรับรู้เรื่องราวใด ๆ ทั้งสิ้น พวกเขาจะต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาตัดสินของพญายมผู้เป็นใหญ่

     ทว่าในช่วงเวลาก่อนการพิพากษาตัดสินเหล่าวิญญาณทั้งหลายจะเป็นทุกข์กระวนกระวายใจอย่างที่สุด ก่อนจะถึงการตัดสินโทษ วิญญาณของคนที่ตายไปจะมีความกระหายร้อนรนอย่างยิ่งที่จะให้ญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทั้งนี้เพราะหลังจาก 49 วันไปแล้วพวกเขาจะต้องถูกนำตัวไปรับโทษทัณฑ์ตามบาปกรรมที่ตนได้ก่อไว้ทันที

     ถ้าหากเป็นคนบาปหนาก็จะต้องไปรับโทษเป็นเวลาถึงร้อยปีพันปี และถ้าทำบาปนักถึงขั้นตกนรกอเวจี ก็จะต้องได้รับทุกข์ทรมานไปเป็นเวลานานหลายอสงไขย แต่หากญาติพี่น้องของวิญญาณบาปเหล่านั้นเป็นผู้มีจิตศรัทธา กราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์และประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ ทุกครั้งที่จะรับประทานอาหารเจก็ยกทูนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อระลึกถึงและขอบพระคุณฟ้าดิน ตลอดเวลาไม่เคยเหยียบย่ำหรือทิ้งขว้างแม้ข้าวสักเพียงเมล็ดหนึ่ง
     "หากคนในครอบครัวปฏิบัติตนด้วยความมุ่งมั่นเช่นนี้ ดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะได้รับอานิสงส์ผลบุญด้วย ฉะนั้นบุคคลใดที่บิดามารดาหรือญาติที่น้องได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว หากเขาสามารถนำภัตตาหารเจไปถวายสักการะและบริจาคทานเป็นพลีบูชาแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยจิตศรัทธาอันบริสุทธิ์แล้วแผ่กุศลผลบุญไปให้วิญญาณผู้ตาย อานิสงส์จากการกระทำดังกล่าวจะบังเกิดขึ้นทั้งต่อผู้ปฏิบัติที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ล่วงลับไปแล้วพร้อม ๆ กัน"

     ครั้นพระกษิติครรภโพธิสัตว์มีพระดำรัสจบลง เหล่าพุทธะ โพธิสัตว์ เทพยดาทุกหมู่เหล่า ต่างก็ได้เปล่งอุทานด้วยความปลาบปลื้มปิติ ขณะนั้นพระอริยะเจ้าต้าปั้นก็ได้โน้มกายกราบลงแล้วถอยเข้าสู่ที่ประทับ




บทความที่ได้รับความนิยม