เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

นกแก้วดับไฟป่า - นิทานบำเพ็ญยุคโบราณ


นกแก้วดับไฟป่า - นิทานบำเพ็ญยุคโบราณ 


     ในอดีตกาล... บนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยป่าไม้อันหนาแน่น นับเป็นที่อยู่อาศัยอันร่มรื่นน่าอภิรมย์ ของบรรดาสิงสาราสัตว์น้อยใหญ่มากมาย

ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง กลางฤดูร้อน อากาศร้อนอบอ้าว เกิดลมพายุใหญ่ พัดอยู่เป็นเวลานาน ต้นไผ่ในป่าเสียดสีกันจนเกิดไฟลุกไหม้ ประกอบกับแรงลมช่วยกระพือโหมพัดหนัก ไฟก็ยิ่งลุกลาม...ไม่นานก็กลายเป็นไฟป่าเผา ผลาญออกไปเป็นบริเวณกว้าง

ไฟป่าลุกลามต่อไปไม่หยุด...บรรดาสัตว์ใหญ่น้อยมากมายที่อาศัยอยู่ ในป่าไผ่บนภูเขาต่างตื่นตระหนก พากันหนีเอาชีวิตรอดอย่างโกลาหล ที่บินได้ ก็บินที่วิ่งได้ก็วิ่งสุดชีวิต ที่คลานได้ก็ลนลานคลานไปให้ถึงที่สุด น่าเวทนาก็แต่ เหล่าบรรดาลูกนกลูกสัตว์ที่เพิ่งจะเกิด ไม่สามารถจะขยับไปไหนได้ ล้วนต้องถูกไฟคลอกตายไปสิ้น

ขณะนั้นนกแก้วตัวหนึ่ง เมื่อเห็นฝุงสัตว์ล้มตายไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งที่กำลังวิ่งหนีกันอยู่ ต่างก็เหนื่อยล้าอ่อนแรงจนหนีต่อไปไม่ไหวแล้ว มันรู้สึกร้อนใจอย่างยิ่ง

นกแก้วคิดว่า... "สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านึ้ ช่างเคราะห์ร้ายเสียจริง ๆ ถูกภัยคุกคามจนต้องพลัดพรากจากถิ่นที่อยู่อาศัย พ่อลูกตายจาก กระทั่งตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะรอดชีวิตหรือไม่ ช่างเป็นสภาพที่ทุกข์ยากลำบากแสนสาหัสเสียเหลือเกิน เราควรจะทำอย่างไรดี ?"

สักครู่...เมื่อรวบรวมสติได้ มันจึงบินย้อนกลับไปยังลำธารน้ำเล็ก ๆ ที่ชายป่า พอไปถึงก็พุ่งตัวลงจุ่มในธารน้ำจนขนเปียกชุ่มทั้งตัว จากนั้นก็บิน กลับไปกระพือปีกสะบัดน้ำที่อยู่ในขนออกมารดไฟป่าที่กำลังไหม้อยู่

อนิจจา... ไฟป่าซึ่งลุกลามใหญ่โต กินอาณาบริเวณกว้างหลายร้อยไร่ มีหรือที่น้ำจากขนนกเพียงไม่กี่หยดจะหยุดยั้งมันได้ แต่สำหรับนกแก้วน้อย ๆ ตัวนี้ มันไม่คิดจะย่อท้อ

เพื่อที่จะนำหยดน้ำมาดับไฟป่า...มันบินกลับไปที่ธารน้ำเล็ก ๆ แล้วบิน กลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า จากสิบเที่ยวเป็นร้อยเที่ยวพันเที่ยวโดยไม่ยอมหยุด

การกระทำของนกแก้วตัวนี้สะเทือนถึงฟ้าเบื้องบน ส่งผลให้เวชยันต์ทิพยวิมานอันเป็นที่ประทับของพระอินทร์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ครั้นพระอินทร์ ผู้เป็นราชาแห่งเทพทั้งปวงตรวจดูก็รู้ว่า บัดนี้ ณ เบื้องล่างมีนกแก้วที่กล้าหาญ มุ่งมั่นตัวหนึ่ง กำลังพยายามจะดับไฟป่าที่ลุกลามอยู่ทั่วภูเขา

พระองค์จึงเสด็จลงมายังที่เกิดเหตุ และตรัสแก่นกแก้วว่า..."เปลวเพลิงโหมไหม้แผ่กว้างไปไกลถึง 100 ลี้ ตัวเจ้าเป็นเพียงนกตัวเล็ก ๆ จะสามารถดับไฟได้อย่างไรเล่า ? จงเลิกล้มความตั้งใจเสียเถิด"

แต่นกแก้วกลับกราาบทูลตอบว่า..."มีสรรพสัตว์มากมายที่ดำรงชีวิตอยู่ในป่าไผ่แห่งนี้ หากป่าไผ่ถูก เผาเป็นเถ้าธุลี พวกเขาก็ไร้ที่พักพิง และหากไฟยังคงลุกลามต่อไปไม่หยุด สัตว์อีกมากมายจะต้องล้มตายลงอย่างน่าเวทนา ข้าพเจ้าจะไม่ใส่ใจได้ อย่าไร? ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะมีกำลังไม่มาก ขอเพียงดับไฟป่านี้ได้ แม้จะต้อง เหนื่อยจนตายข้าพเจ้าก็ยินดี !"

กล่าวจบนกแก้วก็กราบทูลลา แล้วบินกลับไปที่ลำธารอีก พระอินทร์ ทรงตื้นตันพระทัยในเมตตาจิตอันหลั่งล้นของนกแก้วตัวน้อยยิ่งนัก จึงทรงบัญชาให้พระวิรุณเทพแห่งฝนโปรยปรายฝนลงมาอย่างหนัก ไม่นาน....ไฟป่าก็ มอดดับลง.






สละเลือดเนื้อช่วยเสือแม่ลูกอ่อน - นิทานบำเพ็ญธรรมยุคโบราณ


     ณ ชมพูทวีปในอดีต กัษัตริย์องค์หนึ่งมีพระโอรสอยู่ 3 พระองค์ ในบรรดาพระโอรสทั้งหมด เจ้าชายองค์สุดท้องเป็นผู้ที่มีพระทัยงดงามและ อ่อนโยนโดยเฉพาะทรงโอบอ้อมอารีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง

วันหนึ่ง กษัตริย์เสด็จประพาสป่า พร้อมด้วยพระมเหสีและพระโอรส ทั้งสาม ตลอดจนข้าราชบริพารเหล่าขุนนางจำนวนมาก เมื่อตะวันบ่ายคล้อย องค์กษัตริย์ทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงมีพระดำรัสให้จัดที่ประทับใต้ร่มไม้ใหญ่ เพื่อให้ทุกคนได้พัก

แต่สาหรับพระโอรสทั้งสาม ซึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มเปี่ยมด้วยพละกำลัง ต่างทรงปรารถนาจะสัมผัสกับแมกไม้ธรรมชาติ จึงทรงพระดำเนินต่อเข้าไปใน ป่าลึก ณ.ที่นั้นพระโอรสทั้งสามได้ทอดพระเนตรเห็น แม่เสือนอนอยู่ในโพรง หญ้ามันเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นานและมีอาการอิดโรย

พระโอรสองค์ใหญ่จึงพูดว่า..."แม่เสือตัวนี้เพิ่งให้กำเนิดลูกเสือ ตัวเองออ่นระโหยสิ้นเรี่ยวแรง เคลื่อนไหว นี่คงไม่ได้กินอาหารมาหลายวัน น้ำนมจึงเหึอดแห้ง ลูกเสือถึงได้ ร้องไม่หยุด ท่าทางทั้งแม่ทั้งลูกจะไม่รอดแน่ !"

พระโอรสองค์รองก็พูดว่า..."แต่น้องว่าสายตาที่แม่เสือจ้องมองดูลูกที่เกิดใหม่มันฉายแววแห่ง ความดุร้ายตามสัญชาติของสัตว์ป่า ดูทีท่าของมันแล้วเหมือนอยากจะกินลูก ของตัวเองอย่างนั้นล่ะ"

พระโอรสองค์สุดท้องจึงเอ่ยขึ้นว่า..."ถ้าเช่นนั้น เราจะช่วยชีวิตเสือแม่ลูกคู่นี้ใด้อย์างไรล่ะ"

พระเชษฐาทั้งสองหันมาตอบว่า..."ก็ต้องไปหาเนื้อสดมาให้มันเป็นอาหาร แต่คงไม่ง่ายหรอกนะ เพราะ ถ้าจะต้องไปฆ่าชีวิตสัตว์อึ่น เพึ่อช่วยอีกสองชีวิต มันช่างไม่เหมาะสมเลยจริงไหม ?" 

พระโอรสองค์สุดท้าย ก้มพระพักตร์ลง ทรงครุ่นคิดว่า..."ลำพังชีวิตของสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาก็ต้องประสบกับความทุกข์ ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ความหวังที่จะสามารถหลุดพ้น ให้ได้ไปเกิดในที่ที่ ดีกว่า ช่างเป็นไปได้ยากเสียเหลือเกิน นี่ถ้าหากแม่เสือต้องมากินลูกของ ตัวเองเพราะไม่อาจจะทนต่อความหิวโหยได้แล้วละก็ เท่ากับก่อกรรมหนักใน ชีวิต ประหนึ่งเดินอยู่ในที่มืด แล้วยังถลำลึกลงไปสู่ที่มืดยิ่งกว่า ช่างน่าสงสาร เสียจริง ๆ"

ทรงพิจารณาเช่นนี้แล้วจึงกล่าวกับพระเชษฐาทั้งสองว่า..."เสด็จพี่ทั้งสอง เสด็จล่วงหน้าไปก่อนเถิด หม่อมฉันขออยู่ต่อสัก ประเดี๋ยว แล้วจะตามเสด็จไปทีหลัง"

ครั้นพระเชษฐาทั้งสองพระองค์เสด็จไปแล้ว พระโอรสองค์สุดท้องจึง ทรงก้าวเข้าไปประทับนั่งข้างแม่เสือ พร้อมกับยื่นพระกรด้วยทรงประสงค์ให้ มัน กัด กิน

แต่ทว่าแม่เสืออ่อนกำลังเต็มที ไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปาก พระโอรส เห็นเช่นนั้น จึงหักกิ่งไม้มาท่อนหนึ่งแล้วใช้ปลายแหลมแทงลงที่ฝาพระหัตถ์ ขณะนั้นพระโลหิตสดๆ ไหลรินหยดลงในปากของแม่เสือไม่ขาดสาย

ฝ่ายพระโอรสองค์ใหญ่และองค์รอง ทรงดำเนินล่วงหน้าไปนานแล้ว ไม่เห็นพระอนุชาตามมาสักที จึงทรงทบทวนถึงเรื่องที่สนทนากันแล้วทรงดำริ ว่า ยามปกติพระอนุชาองค์สุดท้องมีพระเมตตาเพียงไร ก็ถึงกับสะดุ้งรีบ ย้อนกลับไปตามหา

เมื่อไปถึงที่โพรงหญ้า ก็พบแต่เศษพระอัฐิและชิ้นพระภูษาเปื้อนพระ โลหิตอยู่บนพื้น พระโอรสทั้งสองพระองค์ทรงทราบทันทีว่า พระอนุชาตัดสิน พระทั ยอุทิศพระองค์เอง เพื่อช่วยชีวิตเสือสองแม่ลูกเสียแล้ว !

ทั้งสองพระองค์ถึงกับทรงพระกรรแสงโฮและรีบเสด็จกลับไปกราบทูล พระชนกพระชนนี ทันทีที่องค์กษัตริย์และ พระมเหสีทรงทราบ ประ หนึ่งดังถุก สายฟ้าฟาด จึงทรงสิ้นพระสติไปชั่วขณะ

ครั้นทรงฟื้นคืนพระสติแล้ว ก็รีบเสด็จไปยังที่เกิดเหตุทรงเก็บพระอัฐิ ที่เหลือ พร้อมด้วยชิ้นพระภูษากลับสู่พระนคร ต่อมาได้ทรงมีพระบรมราช โองการให้สร้างพระสถูป เพึ่อบรรจุพระอัฐิธาตุ

เวลานั้นไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างแซ่ซ้องสดุดีว่า..."พระราชโอรสองค์น้อยทรงบำเพ็ญมหาโพธิสัตว์ธรรม พระทัยอันเปี่ยมด้วยมหาเมตตาการุณย์เช่นนี้ ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือน"





บทความที่ได้รับความนิยม