มหากปิชาดก เรื่องพญาวานร
ครั้งหนึ่ง พระมหาโพธิสัตว์ได้เสวยพระชาติเป็นพญาวานร ขณะที่กำลังห้อยโหนอยู่ในป่า ก็ได้พบกับพราหมณ์คนหนึ่ง ตกอยู่ในหลุม (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้) จึงเกิดความสงสาร เนื่องด้วยพระโพธิสัตว์เจริญพระเมตตามหาบารมีมาแล้วหลายชาติ
ความมีอยู่ว่า...พราหมณ์หน่อเทวทัต ได้ตามหาโคที่หาย จนหลงไปในป่าลึก หาทางออกไม่ได้ มีความหิวโหยเป็นกำลัง ไปพบต้นอินทผัมกำลังมีผลสุก จึงปีนขึ้นไปบนต้น เพื่อเก็บผลสุกมาแก้หิว ด้วยความรีบร้อน จึงพลัดตกจากต้นอินทผลัม และหล่นลงไปในเหวขึ้นมาไม่ได้
พญาวานรโพธิสัตว์ผ่านไปทางนั้น เห็นพราหมณ์ตกลงไปในเหวลึก ก็มีความสงสาร รับปากว่าจะช่วยให้ขึ้นมาจากเหว และนำไปส่งให้พ้นป่าลึกจนถึงต้นทางที่จะกลับบ้าน
พระโพธิสัตว์เตรียมที่จะกระโดดลงไปในหลุม เพื่อช่วยชีวิตของพราหมณ์ แต่ยังไม่แน่ใจว่าพระองค์จะมีแรงที่จะอุ้มพราหมณ์ออกมาจากหลุมได้หรือไม่ แล้วพระองค์ก็เกิดปัญญาว่า ควรที่จะทดสอบกำลัง ด้วยการยกก้อนหินที่วางอยู่ข้างๆหลุมแห่งนั้น เมื่อก้อนหินที่หนักเหล่านี้ยกขึ้นมาได้ ก็ย่อมที่จะแสดงให้เห็นว่า พละกำลังของตนเองนั้นมีเพียงพอ สำหรับการช่วยเหลือพราหมณ์นั้น
พระโพธิสัตว์ปีนลงไปในหลุมอย่างกล้าหาญ แล้วอุ้มพราหมณ์นั้นขึ้นมาในสู่ที่ๆ ปลอดภัย เมื่อได้นำพราหมณ์ขึ้นจากเหวลึกได้แล้ว ก็มีความอ่อนเพลีย เพราะต้องใช้กำลังมาก จึงขอให้พราหมณ์ช่วยพิทักษ์ตน เพื่อจักได้นอนเอาแรง สักงีบหนึ่ง แล้วล้มตัวหลับบนตักพราหมณ์
ฝ่ายพราหมณ์เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพญาวานรโพธิสัตว์ขึ้นมาจากเหวลึกสู่ที่ปลอดภัยดังนี้แล้ว นอกจากมิได้มีจิตสำนึกตอบแทนคุณ ภายในจิตกลับมีความคิดไม่ดี ประสงค์ร้ายเอาชีวิตต่อพญาวรโพธิสัตว์อีกด้วย
"วานรนี้ย่อมเป็นอาหารของมนุษย์ได้ เช่นเดียวกับเนื้อของสัตว์ประเภทอื่นๆในป่า ถ้าอย่างไรเมื่อเราหิวขึ้นมาแล้วเราจะฆ่าวานรนี้กินเป็นอาหาร เมื่อกินอิ่มแล้วจะเอาเนื้อที่เหลือเป็นเสบียงในการเดินทาง เราก็จะสามารถข้ามพ้นทางทุรกันดารไปได้" นึกได้ดังนั้นแล้วเขาก็ยกก้อนหินทุ่มลงบนศรีษะของพญาวานรโพธิสัตว์
ฝ่ายพระโพธิสัตว์ผุดลุกขึ้น ทั้งๆที่ตัวอาบไปด้วยเลือด ได้จ้องมองชายคนนั้นด้วยดวงตาทั้งสองอันคลอไปด้วยน้ำตา ท่านพญาวานรก็ได้พบว่า ตัวเองกำลังจะตายในไม่ช้า เมื่อรู้ความจริงว่าจิตของพราหมณ์ท่านนั้นเป็นอย่างไร พญาวานรเองก็มิได้ถือโทษโกรธเคืองประการใดไม่ เนื่องด้วยพระโพธิสัตว์ท่านได้สร้างพระบารมีในการให้อภัยมาดีแล้ว จึงได้ตรัสกับพราหมณ์ผู้นั้นว่า "สมควรแล้วหรือ ที่ท่านจะฆ่าเรา เมื่อเราเพิ่งช่วยชีวิตท่าน"
"นายอย่าทำข้าพเจ้าเลย ขอท่านจงมีความเจริญ แต่ท่านได้ทำกรรมอันหยาบช้าเช่นนี้ และท่านก็รอดตายมีอายุยืนมาได้ สมควรจะห้ามปรามคนอื่น แน่ะท่านผู้กระทำกรรมอันยากที่บุคคลจะทำลงได้ น่าอดสูใจจริงๆ ข้าพเจ้าช่วยท่านขึ้นจากเหวลึกซึ่งยากจะขึ้นได้เช่นนี้ ท่านเป็นดุจข้าพเจ้านำมาจากปรโลก ยังสำคัญตัวข้าพเจ้าว่าควรจะฆ่าเสีย ด้วยจิตอันเป็นบาปธรรมซึ่งเป็นเหตุให้ท่านคิดชั่ว ถึงท่านจะไร้ธรรม เวทนาอันเผ็ดร้อนก็อย่าได้ถูกต้องท่านเลย และบาปกรรมก็อย่าได้ตามฆ่าท่านอย่างขุยไผ่ฆ่าไม่ไผ่เลย แน่ะท่านผู้มีธรรมอันเลว หาความสำรวมมิได้ความคุ้นเคยของข้าพเจ้าจะไม่มีอยู่ในท่านเลย มาเถิดท่านจงเดินไปห่างๆเรา พอมองเห็นหลังกันเท่านั้น"
พระโพธิสัตว์ระลึกได้ว่า พราหมณ์นั้นหลงป่ามา และคงไม่อาจกลับบ้านเองได้โดยปราศจากผู้นำทาง ความเมตตาของพระโพธิสัตว์นั้นไม่สิ้นสุด พญาลิงยอมกัดฟัน ทั้งๆที่หัวโชกชุ่มไปด้วยเลือดอยู่ และพยายามนำพราหมณ์ออกจากป่า ถึงแม้ว่าเลือดแห่งพญาวานรจะไหลริน ดั่งสายนธี ถึงแม้นว่าจะเจ็บปวดปานใดก็ตาม ในที่สุดท่านพญาวานรก็หาทางให้พราหมณ์ออกจากป่าแห่งนั้นได้
เพียงแค่เสวยพระชาติเป็นพญาวานร พระพุทธองค์ยังทรงมีพระมหาเมตตา มหากรุณา มหามุทิตา มหาอุเบกขา และพระปัญญาญาณถึงปานนั้น ลองพิจารณาดูเถิดว่าเมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงสร้างบารมีจนบริบูรณ์ และพระองค์ท่านได้ตรัสรู้แล้ว จะทรงมีพระมหาเมตตาคุณ มหากรุณา และ พระปัญญาคุณที่ยิ่งใหญ่สักปานใด
ขอให้ทุกๆท่านพึงพิจารณาแลยึดเป็นหลักในการดำเนินปฏิบัติบำเพ็ญ ตามรอยพระจริยวัตรแห่งองค์พระพุทธะ โพธิสัตว์ เทอญ
ชาดกเรื่องนี้ พึงเห็นได้ว่า พญาวานรโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบุญบารมีครบทั้ง ๑๐ ทัส กล่าวคือ
ลักษณะการบำเพ็ญเพียร | ประเภทของบารมี |
ความเมตตาปรานีต่อพราหมณ์ที่ตกอยู่ในเหวลึกนั้น ได้ชื่อว่า | เมตตาบารมี |
ก่อนที่จะนำพราหมณ์ขึ้นมาจากเหว พญาวานรได้ทดสอบกำลังของตนก่อนนั้น เป็นการใช้ปัญญา เพื่อให้เกิดผลสำเร็จ นับว่าได้สร้างสม | ปัญญาบารมี |
ด้วยปณิธานที่จะให้พราหมณ์ได้พ้นขึ้นมาจากเหว ต้องใช้ความเพียรไม่ใช่น้อย จึงเป็นการสร้าง | วิริยบารมี |
การถูกทำร้ายในขณะที่กำลังหลับ และผู้ทำร้าย ก็คือผู้ที่ตนได้ช่วยด้วยความเมตตา และพากเพียร นั้นเอง ถึงกระนั้นพญาวานรก็หาได้โกรธเคือง กลับอดทนต่อความเจ็บปวดไว้ได้ ดังนี้เป็น | ขันติบารมี |
การวางเฉยต่อเหตุการณ์ที่ผ่านไปเหมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็ได้ชื่อว่าเป็น | อุเบกขาบารมี |
ได้นำพราหมณ์ออกจนพ้นจากป่า ทั้ง ๆ ที่เลือดตกยางออกเช่นนี้ เป็นการเสียสละเป็นการให้อภัยที่ยากจะหาผู้เสมอเหมือนได้ ดังนี้เป็น | ทานบารมี |
ตลอดเวลานับแต่ถูกทำร้ายเป็นต้นมา พญาวานรไม่ได้เอ่ยวาจาหรือแสดงกิริยาท่าทางส่อไป ในทางตัดพ้อต่อว่าเลย คงรักษากายวาจาไว้ได้อย่างปกติ นับว่าเป็น | สีลบารมี |
ความไม่โกรธ ไม่ตัดพ้อต่อว่า คงรักษากายวาจาได้เป็นปกติ ก็เป็นอันว่าตลอดเวลานั้น พ้นจากกิเลสกาม อันเป็นเครื่องเศร้าหมอง จึงเป็น | เนกขัมมบารมี |
ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าอย่างแน่นอน ในอันที่จะนำส่งพราหมณ์ให้พ้นจากป่า เช่นนี้เป็น | อธิฏฐานบารมี |
การกระทำที่สมกับวาจาที่ได้ลั่นไว้ว่า จะช่วยให้ขึ้นจากเหว พาส่งให้พ้นจากป่านั้น เรียกว่า
| สัจจบารมี |