อานิสงส์ ๑๐ ของการไม่กินเนื้อสัตว์
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์และไม่เบียดเบียนสัตว์คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วย ปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุกาณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่างๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่าและยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตาอันมิอาจประมาณได้ทรงรักใคร่สรรพสัตว์ทั้งหลายประดุจลูกในอุทรของพระองค์เอง เมื่อได้บรรลุอนุตตรสัมโพธิญาณสูงสุดแล้ว ก็ยังทรงมีพระทัยห่วงใยปรารถนาให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายได้หลุดพ้นออกจากบ่วงกรรมและระงับดับการจองเวรซึ่งกันและกัน
ในบรรดาบาปกรรมทั้งหลายที่คนหลงผิดกระทำไปการเบียดเบียนฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นถือเป็นบาปกรรมที่ร้ายแรงที่สุดแม้ว่าจะกระทำลงไปโดยไม่เจตนา ก็ยังต้องไปรับโทษ นับประสาอะไรกับการจงใจเจตนาฆ่าเขาให้ตาย โทษทัณฑ์นั้นจะยิ่งใหญ่หลวงและไม่อาจให้อภัยได้
ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์ให้เราทุกคนละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และเลิกเบียดเบียนผู้อื่นโดยเด็ดขาด พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลข้อ "ปาณาติบาต" คือห้ามการฆ่า เป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่ง
ขอให้เราจงมาร่วมกันศึกษาพิจารณาพระพุทธวจนะว่าด้วยเรื่อง "อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์" เพื่อจักได้นำไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติและบำเพ็ญธรรมให้สูงขึ้นไป
ในพระสูตรของพระพุทธศาสนามหายานเล่าว่า...
"สมัยหนึ่ง... องค์สมเด็จพระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสธรรมกถาวิสัชนาแสดงแก่พญานาคราชความว่า
"บุคคลใดหยุดการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และงดเว้นเสียจากการเสพเลือดเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังชี้นำส่งเสริมให้หมู่ชนทั้งหลายหยุดฆ่า หยุดเสพชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่น บุคคลผู้นั้นย่อมห่างไกลจากอกุศลมูลทั้งปวง และบริบูรณ์พร้อมด้วยอานิสงส์ทั้ง 10 ประการอันได้แก่
อานิสงส์ ๑๐ ของการไม่กินเนื้อสัตว์
- เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
- จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
- สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้
- ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
- มีอายุมั่นขวัญยืน
- ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
- ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
- ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
- สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
- ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมู่งสู่คติโลกสวรรค์
อธิบายอานิสงส์ 10 ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์
1. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
บุคคลผู้ที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชกด่าทอกับใครทั้งสิ้น บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่แห่งหนใด ย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด
ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้ายๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการ "ฆ่า" บุคคลเช่นนี้ไปถึงที่ไหน แม้ไม่ต้องถือมีดเข้ามาให้เห็นทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล
มีตำนานชาดกโบราณเล่าว่า สมัยหนึ่งในอดีต นับย้อนไปเป็นเวลา 500 ชาติ ก่อนที่พระพุทธองค์จะตรัสรู้ ในเวลานั้นพระองค์ออกบวชเป็นดาบสมีนามว่า "ขันติ" พำนักอยู่ในป่าลึกเพื่อบำเพ็ญธรรม
มีอยู่วันหนึ่ง เหล่านางสนมของท้าวเทวทัตผู้เป็นราชาได้พลัดหลงขณะที่ตามเสด็จพระพาสป่าทั้งหมดจึงพากันดั้นด้นไปจนกระทั่งพบพระดาบสกำลังเจริญภาวนาอยู่อย่างสงบ มีลักษณะอันสง่างดงาม แต่ทว่าใกล้ๆกันนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิดมาห้อมล้อมอยู่โดยรอบ ในบรรดาสัตว์เหล่านั้นมีทั้ง เสือ สิงห์โต ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้าย แต่ช่างน่าประหลาดที่มันกลับดูเชื่องและอ่อนโยน มิได้ลุกขึ้นวิ่งไล่ทำร้ายแม้ กระต่าย กระรอก นก ซึ่งมาหากินอยู่ใกล้ๆ
บรรดานางสนมจึงได้พากันเข้าไปกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามพระดาบสว่า "ท่านปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าลึกเช่นนี้ไม่กลัวสิงสาราสัตว์ที่ดุร้ายมาทำอันตรายหรอกหรือ?"
พระดาบสจึงตรัสตอบว่า...
"เมื่อภายในจิตของเรา ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวธุลีของความคิดที่จะไปเบียดเบียนทำลายชีวิตผู้อื่น เช่นนี้แล้วย่อมจะไม่เป็นที่หวาดกลัวหรือตื่นตระหนกต่อผู้ใด ฉะนั้นสัตว์ร้ายทั้งหลายย่อมไม่ทำอันตรายแก่เรา"
พระธรรมโอวาทบทนี้ ยังคงปรากฏเป็นจริงแม้ในกาลปัจจุบัน ดังปรากฏตัวอย่างที่..ประเทศไต้หวัน มีเด็กหญิงเล็กๆหนึ่ง ทุกวันยามเช้าตรู่เธอจะนำเอาเมล็ดข้าวไปหว่านให้นกกระจอกกินเป็นประจำ นานวันเข้า เมื่อพบหน้าบรรดานกกระจอกเหล่านั้นก็จะพากันโผบินเข้ามาหยอกเย้ากระโดดโลดเต้นและเกาะอยู่ตามตัวของเธอ นี่ก็เป็นเพราะแม่หนู่น้อยเป็นผู้ที่มีจิตเมตตาโดยแท้ การกระทำของเธอจึงเป็นการผูกบุญบารมีแห่งเมตตาไว้กับสัตว์ทั้งหลาย ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ และปราศจากสิ่งเคลือบแฝงใดๆ
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
จิตเมตตา คือ ความรู้สึกนึกคิดที่อยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้มีชีวิตอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข
เหตุฉะนี้คนที่มีความเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลยแค่เพียงเห็นเขาต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ ดังนั้นผู้ปฏิบัติธรม ไม่เพียงแต่จักต้องไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นให้ดับดิ้นเท่านั้น แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทำโดยเด็ดขาด
เมื่อจิตเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ค่อยๆถูกสะสมเพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตาขึ้นในใจ มหาเมตตานี้จะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันจะนำพาให้ผู้บำเพ็ญสามารถสำเร็จธรรมบรรลุสู่ขั้น "พระโพธิสัตว์"
เจ้าชายสิทธัตถะ พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้าแผ่นดินไม่เคยประสบความทุกข์ความลำบากอย่างใดเลยก็จริงแต่น้ำพระทัยของพระองค์ก็ยังทรงหยั่งทราบถึงจิตใจของสัตว์เหล่าอื่น ด้วยความเห็นใจว่า "สัตว์ทั้งหลายย่อมปรารถนาความสุขเกลียดความทุกข์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าสรรพสัตว์นั้นๆจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์เดรัจฉาน" (จากหนังสือพุทธประวัติพระกอบภาพ สำหรับเยาวชน โดยท่านพุทธทาสภิกขุ)
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเคียดแค้นในใจลงได้
นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวในเรื่องปากท้องของตนทั้งกินดื่มเสพ อันเป็นเหตุให้คนเราต้อง เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นสาเหตุใหญ่ของการทำลายล้างซึ่งกันและกันอีกประการหนึ่ง ก็คือความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท จองเวรต่อกัน
คนที่มีอารมณ์โกรธเกลียดเครียดแค้น มักจะก้าวร้าวชอบดุด่าและทำร้ายผู้อื่น นานวันเข้าก็กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตหยาบกระด้าง ใจหิน ใจทมิฬ ใจด้านชาจนกระทั่งแม้ความตายของผู้อื่นก็เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่น่าใส่ใจในที่สุดก็จะกลายเป็นพวกยักษ์มารอสูรที่มีรูปร่างภายนอกเป็นคนซึ่งสามารถเข่นฆ่าทำลายล้างได้แม้แต่พ่อแม่บังเกิดเกล้า พี่น้องตลอดจนห้ำหั่นวงศาคณาญาติและฆ่าลูกเต้าในไส้ของตน ดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม จะต้องตัดเอาอารมณ์โกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ออกไปให้หมดสิ้น อย่าให้หลงเหลือไม่เพียงแต่เราต้องรักทะนุถนอมชีวิตของตนเองเท่านั้นแต่เรายังจะต้องรักและทนุถนอมชีวิตของผู้อื่นอีกด้วย มิเช่นนั้นแล้วก็จะได้รับวิบากกรรม ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เลื้อยคลาน งูและสัตว์ประเภทดุร้ายทั้งหลาย
การที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติให้พุทธบริษัทถือศีล ข้อปาณาติบาตก็เพื่อให้หยุดการจองเวรโดยยุติการเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้อื่นทั้งนี้เนื่องด้วยสาเหตุที่ว่า หากบุคคลผู้ใด มีอารมณ์เครียดแค้นพยาบาทในชาตินี้ มันจะฝังแน่นอยู่ในกมลสันดานจนติดตามไปถึงภพหน้าชาติหน้า ฉะนั้นถ้าหากชาตินี้ เราเข่นฆ่า กินเลือดกินเนื้อเขา
แน่นอน...ไม่ว่ากี่ภพกี่ชาติสืบต่อไปภายหน้า ก็จะถูกเจ้ากรรมนายเวรในอดีต ติดตามรังควานทวงหนี้ชีวิตทุกชาติๆไปเช่นนี้แล้ว ... บุคคลผู้นั้นจะสามารถปฏิบัติธรรมให้บรรลุถึงความมหลุดพ้นไปได้อย่างไร?
4. ปราศจากโรคภัยร้ายมาเบียดเบียน
ความเจ็บไข้ได้ป่วยของคนเราซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศหรือจากเรื่องอาหารการกินที่ผิดธรรมชาติความเจ็บป่วยจากสาเหตุทั้งสองนั้น อาจเยียวยารักษาให้หายได้ด้วยยา แต่โบราณกล่าวว่า "ถึงยาวิเศษแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้"
โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต ที่สงผลให้คนเหล่านั้นต้องมาตายพร้อมมกันในชาติปัจจุบัน ได้แก่
- ตายด้วยโรคระบาดในคราวเดียวกันมากๆ เช่น กาฬโรค โรคเอดส์ ฯลฯ
- ประสบอุบัติเหตุตายหมู่พร้อมกัน
- ถูกฆ่าทำลายล้างเผ่าพันธ์ในสงคราม
เหล่านี้มีสาเหตุสำคัญ ก็คือ คนเหล่านั้นต่างเคยร่วมกันฆ่าสัตว์ตัดชีวิตร่วมเสพเลือดเนื้อผู้อื่น ร่วมส่งเสริมผู้อื่นให้ฆ่าให้กินให้เสพ ทั้งหมดเรียกว่า "กรรมหมู่"
จนกระทั่งมาเกิดในชาตินี้ ผลกรรมที่เคยกินเลือดกินเนื้อเขาในอดีต ถึงเวลาสุกงอม ก็ต้องชดใช้คืน หนี้เลือดชดใช้ด้วยเลือด หนี้ชีวิตใช้ด้วยชีวิต บางรายแม้ไม่ถึงตายก็ต้องพิการหรือไม่ก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ด้วยโรคประจำตัวไปหาหมอให้รักษาเยียวยาอย่างไรก็ไม่หายขาดต้องอยู่ทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต เรามักจะได้ยินหลายคนพูดว่า "เฮ้อ...เราช่างมีกรรมมากเสียจริงๆ ถึงต้องเจ็บป่วยเป็นประจำ"
คำพูดเช่นนี้จริงแท้ที่สุด เวรกรรมที่เป็นเหตุชักนำให้ผู้คนต้องประสบโรคภัยกลุ้มรุมทำร้าย ก็เนื่องมาจากในอดีตพวกเขาต่างเคยเบียดเบียน เข่นฆ่า ทำลายชีวิตผู้อื่นมากินมาเสพนั่นเอง
โรคภัยไข้เจ็บ ได้พบเชื้อโรคต่างๆ มีมากที่สุดในเนื้อสัตว์ เช่น...
- โรคมะเร็งต่างๆ, โรคอัมพาต, โรคอหิวาต์, วัณโรค...
- โรคดีซ่าน, โรคตับ, โรคผิวหนัง...
- โรคบวมตามต่อมต่างๆ, โรคปวดข้อกระดูก...
- โรคปากและเท้าเปื่อย...
- โรคจากเชื้อไวรัส, พยาธิตัวตืด...
- พยาธิเส้นด้าย, พยาธิปากขอ...
โรคที่ร้ายที่สุดที่ทำให้มนุษย์ตาย อย่างรวดเร็วนั้นคือ โรคไขมันหลอดเลือด และโรคมะเร็ง ต่างๆ โรคเหล่านี้ ล้วนมาจากเชื้อโรคในเนื้อสัตว์ทั้งสิ้น...
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ทว่าความมีอายุยืนนานนั้น มิใช่เพียงแต่คิดอยากจะได้ .. ก็ได้ เพราะถ้าหากในอดีต ท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภคเนื้อสัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุขและอายุยืนยาวนั้น ... ย่อมเป็นไปไม่ได้!
ขอยกตัวอย่างให้เห็น...ที่จังหวัดเกาสง ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศไต้หวัน มีแม่ค้าขายเนื้อเป็ด เนื้อไก่ คนหนึ่งเลี้ยงชีพด้วยการเชือดคอเป็ด คอไก่ ขายทุกวัน ต่อมาก็ล้มป่วยเป็นมะเร็งที่คอ อายุไม่ทันถึง 30 ก็ตาย!
อีกรายหนึ่ง ...เป็นพ่อค้าขายเนื้อ จนมีฐานะร่ำรวยต่อมาได้ซื้อบ้านตึก 3 ชั้น หวังจะได้อยู่อย่างเป็นสุข แต่ก็กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน จนในที่สุดเขาต้องพบจุดจบด้วยการผูกคอตายในบ้านหลังนั้น
อีกตัวอย่าง..ที่จังหวัด ถังซาน ประเทศไต้หวัน สามีภรรยาคู่หนึ่งค้าขาย เป็ด ไก่ ลูกชายของเขาพออายุได้ 12 ขวบก็ป่วยเป็นโรคลำไส้อักเสบ ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดถึง 3 ครั้งอยู่ต่อมาไม่นานก็ป่วยเป็นโรคไตพิการ ไม่สามารถรักษาได้สุดท้ายก็ตาย!
ส่วนเรื่องราวของบุคคลผู้ที่มีจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือชีวิตสัตว์จนอานิสงส์ผลบุญทำให้มีอายุยืนยาวก็มีอยู่มากมายจะขอตัวอย่างสักสองตัวอย่าง
มีสามเณรรูปหนึ่งอายุ 8 ขวบ เพิ่งจะบวชได้ไม่กี่เดือนวันหนึ่งท่านเจ้าอาวาสผู้เป็นอาจารย์ได้เข้าญาณสมาธิ จึงล่วงรู้ว่าอายุขัยของสามเณรน้อยมีเหลืออยู่เพียง 7 วันเท่านั้น
ด้วยความเวทนาสงสารลูกศิษย์ตัวน้อยๆ ท่านจึงคิดว่าหากสามเณรจะต้องตาย อย่างน้อยก็ให้ได้ไปตายที่บ้านเกิดจะดีกว่า พิจารณาเช่นนี้แล้วพระอาจารย์จึงเรียกเณรน้อยลูกศิษย์เข้ามาสั่งเสียว่า
"เจ้าจากบ้านมาก็หลายเดือนแล้ว โยมพ่อโยมแม่คงคิดถึงมาก อาจารย์อนุญาตให้เจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านได้ 10 วันแล้ว...ค่อยกลับมา"
สามเณรน้อยจึงกราบนมัสการลา แล้วรีบเดินทางกลับบ้านเกิด ระหว่างทางเจอกับพายุลมแรง ฝนตกหนักจนทำให้เณรน้อยต้องหยุดพัก
ขณะหลบฝน เณรน้อยได้มองเห็นรังมดรังหนึ่งกำลังถูกสายน้ำไหลเข้าท่วม บรรดาฝูงมดต่างวิ่งพล่านหาทางเอาชีวิตรอด สามเณรน้อยเห็นเช่นนั้นก็เกิดจิตเมตตารู้สึกสงสารจึงหากิ่งไม้แห้งที่อยู่ใกล้มาพยายามขูดพื้นดินรอบรังมดให้เป็นร่องถ่ายเทให้น้ำฝนที่กำลังจะท่วมไหลไปทางอื่น การกระทำดังกล่าวได้ช่วยให้มดทั้งหมดรอดตายจากภัยพิบัติ
เมื่อพายุสงบฝนหยุดตก สามเณน้อยก็เดินทางต่อไปจนถึงบ้าน และพักอยู่กับโยมบิดาโยมมารดา เวลาล่วงไปจนใกล้จะครบ 10 วัน เณรน้อยจึงเดินทางกลับวัด
ครั้นท่านเจ้าอาวาสผู้เป็นอาจารย์ ได้พบหน้าเณรน้อยลูกศิษย์ก็ให้รู้สึกดีใจ ระคนกับประหลาดใจยิ่งนัก ในเย็นวันนั้นท่านจึงเข้าญาณตรวจดู จึงได้ทราบเหตุการณ์ที่ลูกศิษย์สร้างกุศลใหญ่ โดยการช่วยเหลือชีวิตมดทั้งรังให้รอดตาย
ครั้นเมื่อสามเณรน้อยเติบใหญ่มีอายุครบบวช จึงได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุท่านอยู่ศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญจิตภาวนาจนสามารถสำเร็จเป็นพระอรหันต์ และออกเผยแผ่พระธรรมฉุดช่วยเวไนยสัตว์ตราบจนกระทั่งละสังขารจากโลกไป รวมสิริอายุของท่านได้ 80 ปี
อีกตัวอย่าง ที่จังหวัดราชบุรี ตรงนั้นก็มีคลองดำเนินสะดวก ผู้บำเพ็ญของเราเล่าให้ฟัง มีผู้ชายคนหนึ่งเขาอยากจะกินตะพาบน้ำ คนต่างจังหวัด มักจะเอาไปผัดเผ็ด เขาก็เลยจับตะพาบน้ำมาไว้ที่บ้านแล้วก็เอากะละมังครอบไว้เขาก็เตรียมออกไปซื้อเครื่องแกงเพื่อเอามาผัดเผ็ด เขาก็มีลูกสาวน่ารักมาก กำลังเดินเตอะแตะเลย ประมาณ 3-4 ขวบ ลูกสาวเห็นว่ากะละมังมันเขยื้อนได้ก็เลยไปเปิดดู เห็นว่าเป็นตะพาบน้ำ เด็กเขาก็สนุก ขี่หลังตะพาบน้ำเล่น ผู้ชายคนนี้กลับมาบ้านก็แปลกใจว่าทำไมบ้านเงียบลูกสาวตัวเองก็ไม่อยู่ ก็นึกว่าลูกสาวไปเล่นบ้านเพื่อน ด้วยความที่อยากกินตะพาบน้ำมาก จึงมัวแต่หาว่าตะพาบน้ำหายไปไหน ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ก็ต้องลงน้ำ เขาก็ตามไปที่คลองเห็นพายน้ำกำลังผุดๆอยู่ แสดงว่ามันลงน้ำไปแน่ๆ เขาคว้าฉมวกได้ก็แทงลงไปในน้ำ แทงเสร็จเขาก็งัดฉมวกเพราะกลัวว่าตะพาบน้ำจะหลุดจากฉมวก พอเขายกฉมวกขึ้นมาเท่านั้นเขาก็ร้องไม่เป็นเสียง เพราะที่ยกขึ้นมาไม่ใช่ตะพาบน้ำแต่เป็นสูกสาวของเขา
อีกตัวอย่าง มีอาเสี่ยคนหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เขามีอาชีพขายหมูหัน เขาไปซื้อลูกหมูไปผ่าแล้วก็เอาไม้เสียบจากก้นจนทะลุปาก เขาทำกิจการหมูหันจนร่ำรวย มีรถเบนซ์ขับ ภรรยาเขาก็แต่งตัวดี มีทองเพชรเต็มตัว เขามีลูกชายหนึ่งคน วันหนึ่งเขาก็พาครอบครัวไปเที่ยว เขาเป็นคนขับ ภรรยานั่งข้างๆ ลูกนั่งอยู่เบาะหลังคนขับ ขับรถไปปรากฎว่า รถคันหน้าเบรกกะทันหัน รถของเขาก็เบรกกะทันหันรถคันหนังก็เบรกตาม แต่เผอิญรถคันหลังเป็นรถบรรทุกเหล็กเส้น บังเอิญมีเหล็กเส้นเส้นหนึ่งทะลุผ่านกระจกด้านหลัง ขณะที่เขาเบรกลูกชายของเขาก็คว่ำหน้าก้นชี้ขึ้น เหล็กเส้นก็เสียบก้นจนทะลุออกปากตายคาที่ เหมือนกับที่เขาทำหมูหันไม่มีผิด
จากเรื่องราวที่หยิบยกมาเล่าให้ฟังนี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของบรรดาผู้ซึ่งต้องประสบเคราะห์กรรม อันสืบเนื่องมาจากผลของการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ในหลักธรรมคัมภีร์ว่าด้วยเรื่อง "กฎแห่งกรรม" ได้กล่าวถึงผู้ที่ชอบกินเลือดกินเนื้อและเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้อื่นว่า บุคคลเหล่านี้เมื่อตายแล้ว อันดับแรกดวงวิญญาณจะต้องไปรับโทษในนรกอย่างแสนทุกข์ทรมานต่อมาต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องถูกฆ่าตาย เป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะชดใช้หนี้ชีวิตที่ฆ่าผู้อื่นให้หมด จากนั้นจึงจะได้มาเกิดเป็นคน แต่ก็จะมีอายุสั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบาปกรรมมากน้อยตามที่ตัวได้สร้างไว้
นี่คือ...ผลกรรมของการฆ่า!
เราทุกคนก็ทราบกันดีแล้วว่า ถ้าหากร่างกายมีแต่โรคภัยเบียดเบียน เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เป็นประจำสุขภาพอ่อนแอทรุดโทรม บุคคลผู้นั้นจะคิดอ่านทำการสิ่งใดก็จะพบแต่อุปสรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิดจะฝึกฝนปฏิบัติธรรมก็จะยิ่งยากลำบากขึ้นไปอีก บางคนคิดจะนั่งสมาธิฟังเทศน์ฟังธรรมอ่านไปได้เพียงครึ่งหน้าก็ง่วงเหงาหาวนอนเสียแล้ว
ตรงกันข้าม...ถ้าหากร่างกายของเราแข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนรังควานเราคิดกระทำสิ่งใด ก็ย่อมจะสำเร็จสมประสงค์โดยง่าย ไม่ว่าจะศึกษาหลักธรรมคัมภีร์ ปฏิบัติธรรม บำเพ็ญสมาธิภาวนา ก็จะราบรื่นรุดหน้า บันดาลให้เกิดปัญญาญาณ รู้ผิดชอบชั่วดีมีสติสำนึกระลึกได้ตลอดเวลา
ฉะนั้นจึงใคร่ขอฝากเตือนท่านทั้งหลายว่า ถ้าอยากจะเป็นผู้ที่มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ก็จงงดเว้นบริโภคเนื้อสัตว์และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ
วัชรเทพ
6.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด
วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดีมีใจศรัทธาศึกษาปฏิบัติธรรมรักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง 8 พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้นๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์ มาร อสูรร้ายมารังควาน แต่หากเมื่อใดก็ตามที่บุคคลนั้นมีจิตใจรวนเรไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพผู้ปกปักษ์รักษาก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะถือเป็นโอกาสเข้าจู่โจมทำอันตรายทันที
ฉะนั้นขอให้ผู้ที่ตั้งใจจะปฏิบัติธรรม พึงมีความรอบคอบระมัดระวัง และหมั่นคอยสำรวจตรวจตราจิตของตนอยู่เสมอๆ ในปัจจุบันแม้ความเจริญในทางวัตถุจะรุดหน้าไปมาก แต่ยังมีสาธุชนจำนวนไม่น้อยหันมามุ่งมั่นฝึกฝนปฏิบัติธรรมเริ่มถือศีลกินเจนับเป็นนิมิตรหมายแห่งความเป็นผู้มีเมตตาจิต ถึงแม้ว่าด้วยตาเนื้อของปุถุชนคนธรรมดาจะมองไม่เห็นบรรดา เทพ พรหมทั้งหลายที่คอยเฝ้าพิทักษ์คุ้มครองพวกเขาอยู่ แต่เมื่อถึงคราววิกฤติตกอยู่ในที่คับขัน ต้องประจัญหน้ากับเภพภัยใหญ่หลวงสำหรับผู้ที่ประกอบแต่คุณงามความดีสร้างบุญสร้างกุศล ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรมไม่เสื่อมคลาย เหล่าเทพ พรหม ทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิกผันเหตุการณ์ร้ายให้กลับกลายเป็นดี สามารถแคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิงที่ดีงามเป็นสิริมงคล
คนทั่วๆไปหากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุ่นเมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใดพอล้มตัวลงนอนก็ไม่สามารถจะหลับตาลงได้ หรือก็เพียงแค่หลับๆตื่นๆ และท้ายที่สุดเคล้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืนสาเหตุทั้งหมดมีมูลเหตุเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินชีวิตในแต่ละวันคนที่ทุกวันๆ เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติตนมิชอบเมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่สิ่งเลวร้าย น่าเกลียดน่ากลัว
ยกตัวอย่าง...ที่ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ มีนักพรตรูปหนึ่งนามว่า "กวง ฮั่ว ฝ่า ซือ" ในสมัยที่ท่านยังอยู่ในวัยหนุ่มได้รับราชการเป็นทหารมีตำแหน่ง อาหารที่รับประทานทุกๆ มือจะต้องเพรียบพร้อมไปด้วย เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อไก่ มิเคยขาด บางคราวในแต่ละมื้อท่านกินเนื้อถึงมื้อละ 2 ชั่งหรือเกือบ 2 กิโล ฉะนั้นในช่วงชีวิตที่ผ่านมา เป็ด ไก่ หมู วัว จำนวนนับพันตัวต้องตายไปเป็นอาหารอันโอชะ ตราบจนกระทั่ง ถึงปีหมินกั๋วที่ 42 ตรงกับปี พ.ศ. 2495 ท่านได้หันมาศึกษาหลักธรรม พอรู้ถึงเหตุต้นผลกรรม จึงเริ่มฝึกหัดกินเจถือศีล งดเว้นเนื้อสัตว์ เพื่อลบล้างเวรกรรมที่เคยเบียดเบียนชีวิตสัตว์มามากมายให้เบาบางลง เป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงเวลาครบเกษียณอายุราชการ
หลังจากปลดเกษียณแล้ว ในปีหมินกั๋วที่ 63 ตรงกับปี พ.ศ. 2516 สองวันก่อนหน้าที่จะถึงวันสารทขนมจ่าง วันที่ 5 เดือน 5 เทศกาลตวนอู่ ท่านได้เข้าไปไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนาตามปกติ สักครู่ใหญ่
ก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวดังระงมไปทั่วบริเวณเสียงนั้นไม่ต่างไปจากเสียงร้องของเป็ดไก่วัวควายแต่อย่างใด เมื่อนักพรตผู้ชราหันหลังไปดูก็ปรากฏภาพ เป็ด ไก่ หมู วัว นับพันๆ ตัว พากันแยกเป็น 3 ทาง มีความยาวถึง 2 ลี้ พวกมันวิ่งไล่ติดตามท่านอย่างไม่ยอมลดละ
ท่านนักพรตเหนื่อยแทบจะขาดใจและสะดุ้งตื่นจากภวังค์ด้วยความตกใจจึงลุกพรวดพราดขึ้น เพราะไม่ระวังท่านจึงหกล้มขมำเป็นเหตุให้ขาซ้ายหักพับไปได้รับความเจ็บปวดอย่างยิ่งสุดท้ายก็กลายเป็นคนขาพิการ แต่เนื่องด้วยท่านเป็นผู้เข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างถ่องแท้ ท่านจึงก้มหน้ารับผลกรรมในสิ่งที่ท่านได้กระทำมา ด้วยจิตใจที่มั่นคง
เทพเทวดา อีกเรื่องหนึ่ง ...ที่จังหวัด ผิงตง บนเกาะไต้หวัน เจ้าสำนักสถานธรรมแห่งหนึ่ง แซ่ "หวง" นางได้เล่าเรื่องราวประสบการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าผู้บรรยายฟังว่า
ราว 40-50 ปีที่แล้ว เป็นสมัยที่เกาะไต้หวันกำลังอยู่ในระยะฟื้นฟูใหม่ๆ ยุคนั้นความเป็นอยู่ทุกอย่างลำบากมากขาดแคลนข้าวของอุปโภคบริโภค ตัวของนางเองทุกๆเช้าจะต้องออกไปขุดหอยทากตามพื้นดินมาทำอาหารกิน เป็นเช่นนี้อยู่นาน...จนกระทั่งต่อมานางได้รับวิถีอนุตตรธรรมและตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรมเรื่อยมา
นางเล่าว่า ก่อนหน้าที่จะปฏิญาณกินเจตลอดชีวิตนางมักจะฝันร้ายอยู่เสมอ และเรื่องที่ฝันเห็นเป็นประจำก็คือ มีกองทหารกองใหญ่ทุกคนมือถือหอกถือดาบวิ่งไล่ตามมุ่งจะเอาชีวิตนางให้ได้ และน่าแปลกเหลือเกินที่เสื้อเกาะของนายทหารเหล่านั้น มีสีสรรและลวดลายเหมือนเปลือกหอยทากไม่มีผิด นางฝันร้ายเช่นนี้แทบทุกคืนจนกระทั่งต่อมา นางได้เข้าชั้นศึกษาธรรมและทำพิธีขอขมากรรมพร้อมทั้งตั้งปณิธานกินเจตลอดชีวิต นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฝันร้ายดังกล่าวก็ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางอีกเลย
ฉะนั้น ในหลักธรรมคำสอนจึงบ่งบอกเอาไว้ว่า
"ผู้ที่ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต งดบริโภคเลือดเนื้อของผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย ย่อมไม่เกิดฝันร้าย จะหลับและตื่นอย่างเป็นสุข"
บางครั้งผู้ที่ตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นพระพุทธะ พระโพธิสัตว์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายตลอดจนดอกบัวทิพย์ในแดนสุขาวดี ทั้งหมดนี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี เป็นศิริมงคลแก่ตนเอง
ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ผู้ที่มีจิตใจดีงาม ไม่เคยแม้แต่จะคิดร้ายต่อผู้อื่น เมื่อถึงเวลานอนก็จะหลับสนิทโดยง่าย ยามตื่นก็ไม่งัวเงีย อารมณ์จะปลอดโปร่งแจ่มใส ชีวิตมีอิสระ จิตใจย่อมเบิกบานเป็นสุขไปตลอด
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
คัมภีร์แห่งสัจจธรรม ได้กล่าวว่า "สรรพสัตว์ทั้งหลายกับข้านั้นเป็น "หนึ่ง" เดียวกัน ไม่แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงทำให้ยึดเอากายสังขารรูปลักษณ์ภายนอกมาทำให้เกิดเป็นความแตกต่าง"
ผู้มีญาณปัญญาเห็นแจ้งในธรรม ย่อมตระหนักรู้ดีว่าท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายและแม้แต่จะขัดแจงไม่ลงรอยกันในความคิดเห็นของหมู่ชน ผู้ปฏิบัติธรรมที่แทั้จริงจะต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นคิดอาฆาตผู้อื่นโดยสิ้นเชิง
ปมแห่งเวรกรรมนั้นต้องรีบแก้ไขคลายออก จิตต้องไม่ผูกความแค้น ใจต้องไม่อาฆาต กรรมเวรทั้งหลายควรให้สลายไปด้วยการอโหสิกรรม อย่าผูกไว้ ควรให้อภัยซึ่งกันและกัน
ฉะนั้นจากเหตุผลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าผู้ที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ต้องไม่เพียงแต่ไม่คิดโกรธเกลียด ไม่เข่นฆ่าไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นไม่ว่าคนหรือสัตว์ แต่ยังจะต้องมีจิตเมตตากรุณา คิดสงสารต่อผู้ที่หลงผิดประพฤติมิชอบ พร้อมทั้งเพียรพยายามหาวิธีฉุดช่วยเขาให้กลับเข้าสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม หากปฏิบัติได้เช่นนี้แล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่มีเวรกรรมหนี้แค้นต่อกัน กลับจะเป็นการผูกบุญสัมพันธ์อันดีต่อกันอีกด้วย ทั้งนี้เพราะการจะสำเร็จธรรมถึงขั้น "พุทธะ" ได้นั้นจักต้องผูกบุญสัมพันธ์อันดีกับสรรพสัตว์เป็นฐานบารมีก่อน
ดังนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิม ผู้เปี่ยมด้วยมหาเมตตามหาการุณย์ต่อเวไนยสัตว์ทั้งหลาย จึงทรงตรัสเทศนาสั่งสอนเน้นหนักให้สาธุชนที่มุ่งมั่นปฏิบัติธรรม ต้องเลิกบริโภคเนื้อสัตว์ อันเป็นการเจริญรอยตามปฏิปทาที่พระองค์ท่านและบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้บำเพ็ญไว้เป็นแบบอย่างให้พวกเรายึดถือปฏิบัติมาจวบจนทุกวันนี้
ใจสงบ
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสเห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ
ตามกฎแห่งกรรม ผู้ที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ชอบเสพเลือดเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องล่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง 3 ได้แก่
1.นรกภูมิ 10 ขุมซึ่งแต่ละขุมแต่ละแดนเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาณอันแสนสาหัสต่างๆนานา
2.เปรตภูมิ เป็นแดนที่เหล่าวิญญาณบาปต้องได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหยตลอดเวลา เพราะเมื่อยามใดที่อาหารเข้าปาก ก็จะลุกไหม้กลายเป็นไฟ ไม่สามารถกลืนลงคอได้เป็นเช่นนี้อยู่ตลอดเวลาตราบเท่าที่จะหมดสิ้นบาปกรรมที่ทำไว้
3.เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณบาปชดใช้หนี้เวรบาปกรรม พ้นจากขุมนรกและภพภูมิเปรตแล้วก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต้องถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบตามจำนวนที่ตนได้เคยเบียดเบียน ทำลายชีวิตผู้อื่น
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตญาณจะมุ่งสู่สุคติโลกสวรรค์
ในมหายานสูตรมีเรื่องเล่าว่า สมัยหนึ่งพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้ทรงเป็นเลิศในทางฤทธิ์แห่งองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขณะกำลังเจริญสมาธิภาวะนาอยู่ ณ ริมฝั่งมหาคงคานที ได้ทรงพบเห็นเหล่าภูติเปรตมากมาย
ขณะนั้นผีเปรตตนหนึ่ง ได้เข้ามาหมอบกราบนมัสการพร้อมกับทูลถามท่านว่า "เหตุใดข้าพระองค์ จึงต้องถูกเหล่าสุนัขปีศาจมารุมกัดกินเนื้อ ต่อเมื่อเนื้อถูกแทะกินจนหมดแล้วแค่ลมพัดโชยมากระทบเนื้อกายของข้าพระองค์ก็กลับงอกสมบูรณ์เป็นปกติดังเดิม และแล้วก็จะถูกเหล่าสุนัขปีศาจ กรู่กันเข้ามากัดกินกันต่อไปอีกเป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน
ข้าพระองค์ได้ทำกรรมอันใดไว้ จึงเป็นเหตุให้ต้องมารับโทษอันแสนจะทุกข์ทรมานอย่างไม่รู้จักจบสิ้นเช่นนี้...พระเจ้าข้า..."
พระโมคคัลลานะพุทธสาวกจึงตรัสชี้แจงแก่เปรตตนนั้นว่า "วิบากกรรมที่เจ้าได้รับอยู่ในขณะนี้ ก็เนื่องด้วยในอดีตเมื่อครั้งที่เจ้าเป็นมนุษย์ ได้ถูกมิจฉาทิฐิความหลงผิดความไม่รู้จริงเข้าครอบงำจึงชอบเข่นฆ่าชีวิตสัตว์แล้วนำไปสังเวยฟ้าดิน ถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การกระทำเช่นนี้นับเป็นบาปอย่างมหันต์ อกุศลกรรมดังกล่าวเป็นเหตุทำให้เจ้าต้องมารับโทษทัณฑ์อันแสนสาหัส ดังที่เป็นอยู่นี้"
เราลองมาพิจารณาดูเถิดว่า การที่ต้องไปรับวิบากกรรมเช่นนั้น มันช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน แต่ถ้าหากยามมีชีวิตเรารู้จักหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตาย ด้วยการกินเจรักษาศีลไม่บริโภคเนื้อสัตว์ เราก็ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพ ไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัวในชาติหน้า
ฉะนั้นสาธุชนผู้ที่งดเว้นเนื้อสัตว์ ตั้งใจถือศีลกินเจเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง จิตญาณจะละจากสังขารอาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดีที่สร้างสมไว้ในขณะที่มีชีวิตอยู่ย่อมเป็นเหตุปัจจัยดลบันดาลให้เหล่าทวยเทพเทวา พากันมาแซ่ซ้องรอรับขึ้นสู่แดนบรมสุขเบื้องบน
สมดังพระพุทธวจนะ ที่ว่า..."ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ปลูกพืชพรรณใดไว้ ย่อมต้องได้รับผลอย่างนั้น"
นี่คือ หลักสัจจธรรมที่เที่ยงแท้แน่นอน
สรุป
การจะศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จลุล่วงผู้บำเพ็ญธรรมจักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนื้อชีวิตสัตว์โดยสิ้นเชิงพร้อมกับตั้งจิตมุ่งมั่นอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก มิเช่นนั้นหนทางการบำเพ็ญเพียรสู่ความหลุดพ้นของเราจะต้องถูกขัดขวางจากบรรดาเจ้ากรรมนายเวรจนไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นไปได้
เป้าหมายของการบำเพ็ญธรรม คือ ได้บรรลุ "อนุตตรสัมโพธิญาณ" อันเป็นการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด ต้องเริ่มต้นจากการสะสมคุณงามความดี ประกอบแต่กุศลกรรม
สุดท้ายนี้ขอเชิญบรรดาสาธุชนผู้ใฝ่ใจในการปฏิบัติธรรมจงเริ่มใช้วิจารณญาณแยกแยะเหตุและผลที่ได้เรียนรู้มาแล้วจนมโนธรรมสำนึกที่แท้จริงปรากฎชัดเจนออกมาจะได้ดำเนินชีวิตไปบนหนทางที่ถูกต้องดีงามเสียตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น