เมนูอาหารเจ เทศกาลกินเจ

รวบรวม...เมนูอาหารเจอร่อยๆ สูตรอาหารเจง่ายๆ

คลิ๊กเลย >>> รวบรวมเมนูอาหารเจ..อร่อยๆ   สอนทำอาหารเจง่ายๆ

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เจ๋ง


ความเจ็บปวดของสัตว์ โดย ลี่อี้เจ๋ง

1.  คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดิน คือ “ชีวิต” ความโหดร้ายอันมหันต์ของมนุษย์โลกคือ “ฆ่า” 

        ซึ่งเป็นคำกล่าวทีกระจ่างที่สุดของคนโบราณ เป็นคำพูดที่สั้นและเข้าใจง่ายที่สุด เป็นคำพูดที่เจ็บปวดที่สุด พวกเราควรจะรู้ว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด การฆ่าเป็นสิ่งที่โหดร้ายเจ็บปวดที่สุดเหมือนกัน พวกเราเคยอ่านหนังสือถึงโทษทัณฑ์ที่หนักที่สุดของมนุษย์ ก็คือ “ตาย” เท่านั้น ก็จะรู้ถึงความชั่วร้ายที่ก่อไว้ ความโหดร้าย แม้จะท่วมท้น เลวทรามที่สุดเมื่อตายลงแล้วทุกอย่างก็สิ้นสุด ไม่สามารถจะเพิ่มโทษได้มากกว่านี้อีกแล้ว แต่กลับกันพวกสัตว์ ที่ไม่มีพิษร้ายต่อผู้คน ถึงมีโทษก็ไม่ถึงตาย ฟัาดินยังอภัยโทษให้ได้ ผู้คนกับไม่คำนึงถึงสิ่งใดๆ จับมาฆ่าแกงทารุณกรรมอย่างโหดร้าย แล้วก็กินมันเข้าไป แทบถือเป็นเรื่องธรรมดา เฮ้อ! โลกนี้ ช่างโหดร้าย ไร้เหตุผล ยังมีอะไรหนักมากยิ่งไปกว่านี้บ้างไหม? 

ทุกชีวิตของสัตว์ที่มีอยู่ในโลกนี้ ตั้งแต่มนุษย์จนกระทั่งสัตว์บกสัตว์น้ำ ถึงแม้จะมีความกแตกต่างกันทั้งรูปร่างและน้ำหนักแต่วิญญาณนั้นเหมือนกัน หรือจะกล่าวอีกแบบหนึ่งคือ สัตว์แม้ไม่มีรูปร่างเหมือนกัน แต่ก็มีน้ำจิตน้ำใจเหมือนคน ต่างก็รู้จักรักชีวิตของตน รู้จักกลัว รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นคนควรมีอัธยาศัยต่อสัตว์เหมือนมีอัธยาศัยต่อคน ไม่ควรเห็นความแตกต่างจากร่างกายสังขารเป็นข้ออ้างในการแบ่งแยก ในจุดนี้ อย่างน้อยที่สุดพวกเราต้องจดจำว่ามูลฐานของชีวิต ต่างก็มีชีวิตขึ้นตรงต่อฟ้าดิน ต่างก็ส่งกระแสจิตติดต่อกัน ไม่อาจที่จะดูหมิ่นเหยียดหยามกันได้ เธอลองคิดดูซิว่าเวลาเราถอนขนสักเส้นหนึ่ง เราจะรู้สึกสะดุ้งสะเทือนไปทั้งตัวเพียงเข็มแทงอันเดียว ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของร่างกายเท่านั้น หาใช่ร่างทั้งร่างก็ไม่ นั้นก็คือ ทุกชีวิตก็มีชีวิตเหมือนตัวเราเอง เลือดเนื้อก็เหมือนกัน ความเจ็บปวดทรมานจะต่างกันอย่างไร? ที่ยกย่องกันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ มีคุณธรรมย่อมไม่มีเหตุผลพอที่จะกินสรรพสัตว์ได้ ควรจะรู้ว่า ฟ้าดินได้ให้กำเนิดชีวิตที่โง่เขล่า

เฉลียวฉลาด ตั้งชื่อว่า “มนุษย์” แล้วก็ให้กำเนิดชีวิตที่โง่เขล่าเบาปัญญา ตั้งชื่อว่า “สัตว์” ทั้งสองอยู่ร่วมกัน เพียงแต่ต่างกันเหมือนกับชีวิตของคนที่มีลูกคนโต แล้วมีลูกคนเล็กถัดๆ กันไปแม้มีความต่างกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่ก็มีเลือดเนื้อ มีความสนิทสนมดุจเดียวกัน หากแต่ว่าคนมีสติปัญญาและพละกำลัง สมบูรณ์สมกับชีวิตสัตว์ประเสริฐ พวกที่หลงงมงาย และเข้าข้างตัวเองก็ทึกทักเอาว่า สวรรค์ส่งสรรรพสัตว์มาให้คนกิน คำพูดเหล่านี้มีหลักฐานอะไร? ถ้าอย่างนั้น เวลาเสือมันมาเจอคนเข้า มันก็กินคนเลยก็น่าจะพูดว่าสวรรค์ส่งคนมาให้เสือกินบ้าง การดำรงชีพของคนมีธัญพืชหลายชนิด มากเกินพอสำหรับดำรงชีพ ฟ้าดินประทานให้มากมายขนาดนี้แล้ว ยังมีเหตุผลอะไรอีกหรือ ที่อาหารการกินของคนเราจำเป็นต้องพึ่งชีวิตของสัตว์อีก?

พูดถึงคำที่ว่า ทุกชีวิตคือร่างเดียวกัน ผู้คนคงรู้สึกว่าตนเองใหญ่ที่สุดแล้ว แต่ละคนก็มีร่างของแต่ละคน จะเป็นร่างเดียวกันได้อย่างไร? ที่แท้แล้วในครอบครัวหนึ่งก็เหมือนร่างเดียวกัน เช่นแม่ลูกเป็นต้น นี่เป็นความจริงที่แน่แท้ แต่ปัจจุบัน จะไปแลดูได้อย่างไรว่า ทุกชีวิตจะมีร่างกายอันเดียวกัน? ถ้าอย่างนั้น เมื่อร่างของแม่เห็ฯลูกน้อยดีใจ แม่ก็ดีใจด้วย ถ้าหากลูกน้อยเจ็บปวด แม่ก็รู้สึกเจ็บปวดด้วย ถ้าลูกน้อยเกิดเจ็บป่วยและตายไป ถ้าเป็นไปได้แม่ก็พร้อมจะเจ็บป่วยและตายแทน ภายใต้จักรวาลนี้ คนที่เป็นแม่จะไม่นับว่าลูกน้อยและตนเอง มีร่างดุจเดียวกัน ดุจเช่นผู้ที่รักบ้านรักชาติรักประเทศดุจเดียวกัน ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกับการรักมนุษยชาติรักผู้คน เม่งจื้อ กล่าวว่า พระเจ้าแผ่นดิน “อู้” เห็นไพร่ฟ้าจมน้ำก็เหมือนกับตนเองจมน้ำด้วย พระเจ้าแผ่นดิน “เจ็ก” เห็นไพร่ฟ้าอดอยากก็เหมือนตนเองอดอยากด้วย พระอรหันต์กษิติครรภ์ กล่าวว่า”ถ้าผู้คนยังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ข้าก็จะไม่เข้าสู่พระนิพพาน”ด้วยเหตุอันนี้ก็เช่นเดียวกับแม่ที่คอยดูแลลูกน้อย ที่มีความจริงใจคอยเฝ้าห่วงใยประดุจมีชีวิตอันเดียวกัน ซึ่งไม่สามารถจะแบ่งแยกความสัมพันธ์อันนี้ได้ คนๆนี้คนๆนั้น และอีกหลายๆคน ก็มีดวงจิตที่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าบนร่างกายนั้น ภายใต้หนังที่หุ้มอยู่ถ้าเอาเนื้อที่หนักไม่กี่สิบกิโลกรัมออกเสีย ก็จะกลายเป็นว่านี่เป็นของฉันนั่นเป็นของเขา ในกรณีที่เราไม่สามารถแยกหนังออกมาได้ถ้ามีโอกาสก็เอาส่วนที่มี่คุณสมบัติเหมือนกันมารวบรวมกันเข้าจากความน้อยนิดของฉันก็เพิ่มให้มันใหญ่ขึ้น เพิ่มเข้าไปอีกเรื่อยๆจนใหญ่คับฟ้า กลายเป็น “ฉันแท้ๆ” ไม่บกพร่องเลย! สิ่งที่ต้องรู้ก็คือเมื่อเปรียบเทียบส่วนที่ใหญ่ของฉันกับความประพฤติที่สูงหรือต่ำก็รู้ว่า คนที่เลวทรามที่สุด ก็คือ คนที่เอาเนื้อไม่กี่สิบกิโลกรัมนั้นมาเป็นของฉันนั่นแหละ ดังนั้น พฤติกรรมของเขาก็จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ความชั่วร้ายขนาดไหนก็ทำมาแล้ว ความชั่วร้ายที่ฆ่าชีวิต ก็เนื่องจากขาดความเห็นอกเห็นใจ อันสืบเนื่องมาจากความคิดเห็นของผู้คนไม่มีร่างเป็นดุจอันเดียวกัน!

2. ไม่ว่าใครฆ่าใครก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะมีขึ้นแต่ชาวโลกมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน “

        การฆ่า”มี คนฆ่าคน คนฆ่าสัตว์ และ สัตว์ฆ่าคน 3 ชนิด แต่ผู้คนกลับเห็นว่า “คนฆ่าคน” เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุด “คนฆ่าสัตว์”เป็นเรื่องธรรมดาที่สุด “สัตว์ฆ่าคน” เป็นเรื่องน่ากลัวและแตกตื่นมาก! ข้าอยากให้พวกเราเปิดใจให้สอบถามสักหน่อยดูซิว่าน่าจะมีการแบ่งประเภทการฆ่าหรือไม่พูดออกอย่างจริงใจโดยที่จริงแล้วคนฆ่าสัตว์นั้นดุร้ายกว่าคนฆ่าคนมาก ยังดุร้ายกว่าสัตว์ฆ่าคนด้วย! เป็นเพราะอะไรหรือ? เพราะว่า คนฆ่าคน อาจเกิดจากการคดโกงทางกฎหมาย หรือไม่ก็เพื่อป้องกันตนเอง หรือไม่ก็ด้วยสาเหตุอื่นๆ สัตว์แม้จะฆ่ากันก็ยังมีขอบเขตจำกัด เช่นเสือก็ไม่อาจทำร้ายพวกนกได้ สัตว์น้ำก็ไม่สามารถทำลายสัตว์บกเป็นต้น มีแต่คนที่ฆ่าสัตว์ ฆ่าได้แม้แต่อยู่ในอากาศ อยู่ในท้องทะเลลึกในป่าและบนภูเขา ไม่มีที่ไหนที่ไม่ถูกฆ่า ทุกชนิดถูกฆ่ามาเพื่อบำเรอปากท้องทั้งสิ้น ก่อให้เกิดสิ่งน่าเศร้าสะเทือนใจ ทำให้นกไร้เพื่อนบินโดดเดี่ยว สัตว์ป่าหลงฝูง น่าสมเพชยิ่ง ลิ้นคนแลบถึงฟ้าและทะเลลึก การกระทำของคนเช่นนี้ กฎหมายก็ไม่สามารถเอาโทษได้แต่ยังได้รับการยกย่องจากคนพวกเดียวกันอีก การเข่นฆ่าของสัตว์ยังมีขอบเขต แต่การฆ่าของคนนั้นไร้ขอบเขตจริงๆ เมื่อพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้แล้วจะเห็นว่า “คนฆ่าสัตว์” นั้นดุร้ายกว่า “คนฆ่าคน” อย่างโหดเหี้ยมทีสุดใช่ไหม? แล้วยังมีน้ำหน้ายกย่องตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ น่าจะเรียกว่าสัตว์โหดเหี้ยม จะเหมาะกว่า?

น่าสังเวชที่ชั่วชีวิตของคนเรานี้ ตั้งแต่เล็กจนโต ตั้งแต่โตจนแก่ ไม่เคยที่ไม่พ้นการฆ่า ตั้งแต่แรกเริ่มคลอดจากครรภ์มารดาก็ถือโอกาสเลี้ยงฉลองด้วยการฆ่าชีวิต เพียงไม่นาน พอเด็กอายุครบเดือน ก็ฆ่าชีวิตเลี้ยงกันอีก พอครบขวบปี ก็ฆ่าชีวิตอีก จนกระทั่งเติบโตได้เวลาแต่งงาน ถือว่าเป็นงานมงคลก็ฆ่าชีวิตอีก โดยถือโอกาสไหว้เจ้าฆ่าชีวิต แต่งงานก็ฆ่าชีวิตซึ่งวนเวียนไปวนเวียนมา ฆ่ากันตลอดศก ล้วนแล้วแต่สังเวยปากท้องทั้งนั้น ตลอดชีวิตสะสมแต่บาปเวร ชีวิตที่ถูกเราฆ่านั้นไม่รู้จักกี่ร้อยกี่พัน ยังมีอีก ตอนที่เจ็บป่วยก็อยากต่อชีวิต ร้องขอชีวิตอยู่ แต่กลับทำลายชีวิต แล้วอย่างนี้จะมีชีวิตยืนยาวได้อย่างไร ชีวิตการแต่งงาน เป็นชีวิตคู่ที่เริ่มรักสมานฉันท์ เหตุไฉนกลับเชือดเฉือนพรากให้มันจากกัน การให้กำเนิดบุตรนั้นถือว่าเป็นนิมิตอันดีแต่เหตุไฉน ต้องฆ่าแม่(ไก่)พรากลูกมันมีเหตุผลอะไรหรือ? โดยปกติ คนเราเมื่อมีงานมงคลก็ควรที่หาฤกษ์ยามและปฏิบัติสิ่งที่เป็นสิริมงคล จึงจะถูกต้อง เช่น อวยพรงานวันเกิด ควรใช้คำอวยพรให้อายุยืนยาวเหมือนเต่าเหมือนนกกระเรียนถ้าอวยพรเพื่อให้เพิ่มบุตรควรใช้คำพูดว่ามีบุญวาสนามีโชคได้บุตรประเสริฐรุ่งเรืองสืบสกุล ในขณะที่เราอยู่ในความคิดที่ดีๆ ก็เกิดมีการฆ่ากันอย่างมากๆขึ้นมา ก็จะบั่นทอนอายุที่ยืนยาวให้สั้นเข้า พวกที่ลูกมากก็มักจะด่าว่าลูกให้ฉิชบหายตายเร็ว หน้าบ้านก็กล่าวอวยพรกันเอิกเกริก หลังบ้านก็เป็นแดนประหาร เสียงร้องอย่างตระหนกตกใจเมื่อจวนจะตาย มันน่าฉงนจริงๆ ชีวิตบางชีวิตเหมือนตัวละครถูกฆ่า ชีวิตบางชีวิตอยู่ดีๆก็ถูกฆ่า บางชีวิตก็ทรงอำนาจแล้วถูกฆ่าน่าแปลกแท้ๆ 
        ลองมาดูกันว่าอาหารมื้อหนึ่งๆ ของคนเรา ก็ไม่พ้นจากการฆ่าชีวิต เช่น นกกระจาบจานหนึ่ง ๆ ไม่น้อยกว่าสิบชีวิต พวกหอยพวกกุ้งเป็นร้อยชีวิตจึงจะได้สักมื้อหนึ่ง แค่นั้นยังไม่พอต้องแต่งกลิ่นแต่งรส หาวิธีปรุงอาหารต่างๆ เพื่อให้รสชาติเหมาะชวนกิน บางอย่างก็กินกันสดๆ เลือดสดๆ กินกันอย่างพิสดาร กินกันอิ่มแล้วก็พออกพอใจ ถ้าหากทำมาช้าหน่อยก็พาลอารมณ์เสีย ไม่เคยคิดถึงบุญคุณของของที่อยู่ในจาน ล้วนมาจากความเครียดแค้นความทุกข์แสนสาหัสเพื่อปรนเปรอความสุขขั้นสุดยอดของท่าน โดยกลืนกินชิ้นส่วนของมันไม่เคยคิดถึงกรรมจะสนองอย่างไร เราลองคิดให้ลึกซึ้งอีกนิดว่าฉากแห่งความเหี้ยมโหดเกิดขึ้นขนาดไหน? เพื่อสนองความต้องการของปากท้อง ดังนั้น เมื่อฟ้าเริ่มสางของทุกๆ วัน เพชรฆาตที่นับจำนวนไม่ถ้วน มือถือมีด เพียงไม่ถึงชั่วยาม ชีวิตของสรรพสัตว์เป็นแสนเป็นล้านต้องดับจมลง ถ้าเอาซากศพมันมากองก็จะได้ภูเขาสูงมหึมา แล้วเลือดของมันมารวมกันก็จะไหลหลั่งสามารถย้อมแม่น้ำได้ทั้งสายทีเดียว ดูสภาพอนาถเวทนายิ่งนัก พวกมันทุกข์ยิ่งกว่าถูกโจรปล้นผลาญล้างเมือง ฟังเสียงร้องของพวกมันสะเทือนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ จะพบแต่คมมีดกรีดแหวะท้องปลายมีดทิ่มแทงหัวใจถลกหนังถอดกระดูกถอดเกล็ด เชือดคอลอกคราบเอาน้ำร้อนต้มตุ๋น อีกทั้งเกลือเหล้าหมักดองทั้งหอย กุ้ง ปู ปลา ฟ้าเอ๋ย! น่าสงสารเจ็บซ้ำยิ่งนัก ยากที่จะหาทางระบายออกมาได้ น่าเอน็จอนาถสุดทนได้ สร้างบาปมหันต์ จมปรักอยู่ในความแค้นนับหมื่นๆชาติ ซึ่งสืบเนื่องแต่ปากท้องทำให้ก่อเวรกรรมขึ้น

3. ความมีพรหมวิหารสี่ ความจงรักภักดี ความมีสัมมาคารวะ ความมีปัญญาและความดี สัจจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรมีไว้ประจำตัวคุณธรรม 5 ประการนี้ ถ้ารักษาได้เป็นปกติ ก็จะไม่ละอายใจตนเองเป็นบุคคลที่สง่าผ่าเผย 

        อันชีวิตมนุษย์ที่อยู่ภายใต้ฟ้าดินนี้ มีสังขารเล็กๆ เพียงแค่เจ็ดฟุตเมื่อยืนหยัดอยู่กับความกว้างใหญ่ของฟ้าดินที่แท้อาศัยกับอะไรเล่า? มนุษย์ที่ยกย่องว่าเป็นสัตว์ประเสริฐพึ่งพิงอยู่กับอะไร? ก็เพราะมนุษย์มีคุณธรรมห้าประการที่สามารถยืนหยัดอยู่กับฟ้าดินโดยไม่ละอายใจและไม่ละอายใจที่ยกย่องตนเองเป็นสัตว์ประเสริฐเลย แต่ทว่า ถ้าขาดศีลข้อห้ามฆ่าสัตว์ เกิดการฆ่าชีวิตขึ้น ก็เป็นการทำลายความเป็นมนุษย์ ที่มีคุณธรรมประจำใจ เช่น ฆ่าตัวเขาเพื่อความอ้วนท้วนของตัวเรา ก็จะขาดพรหมวิหารสี่พรากญาติขาดมิตรเขาเพื่อเลี้ยงดูเพื่อนพ้องตนเอง ก็เป็นผู้ขาดความจงรักภักดี ถ้าเอาเนื้อหนังมันมาเซ่นเจ้า ก็จะขาดคุณธรรมข้อสัมาคารวะ และที่ยกย่องว่าชะตาชีวิตล้ำเลิศ ต้องเสพกินคาวเลือดก็เป็นผู้ที่ขาดสติปัญญา เอาเหยื่อล่อหลอกให้เหยื่อติดกับก็เป็นผู้ไร้สัจจะ เฮ้อ! มันอาศัยอยู่ในโลกกิเลส ถ้าไม่รักษาคุณธรรมทั้งห้าก็จะไร้ความเป็นมนุษย์ไป เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์เดรัจฉานแล้วมันจะแตกต่างกันมากน้อยเท่าไร จิวอันสือ กล่าวว่า “ความมีพรหมวิหารสี่เป็นธรรมข้อแรกของคุณธรรม ความรักเมตตาเกิดก่อนบุญกุศลทั้งหลาย” ถ้าหากเราต้องการเป็นคนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนก็ควรปลุกใจเราให้มีพรหมวิหารและการให้อภัย อะไรคือพรหมวิหารอะไรคือการให้อภัย? นั่นคือทำจิตใจเราให้เผื่อแผ่ไปยังสัตว์ทั้งหลายคิดเพื่อมัน ถ้าหากทำได้ แม้แต่คนที่ใจคอโหดเหี้ยมก็จะรู้สึกหวั่นไหวอ่อนลงได้ เมื่อทนทำต่อสังคมไม่ได้ ก็ยิ่งทนทำต่อคนด้วยกันก็เมตตาต่อสัตว์ด้วยเช่นกัน ผู้ที่มีจิตใจรักสัตว์ก็ย่อมมีจิตใจรักคนทั้งหลายด้วย ดังนั้นจะพูดแทนสัตว์ว่า ใจที่ไม่ทนทำสิ่งเลวร้ายได้นี้ จะเห็นคนทั้งหลายดั่งพี่น้องร่วมท้หงเดียวกัน ก็จะพ้นภัยพิบัติการฆ่าฟันกันได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข!

ท่านลองหวนคิดดูซิ ตอนที่จะจับมันฆ่า มันตกใจกลัวขนาดไหน ถ้าบินหนีได้ก็จะบินหนี ถ้ามุดดินได้ก็จะมุด มันก็จะโทษฟ้าดินไม่ปราณีมัน เช่นเดียวกัน ถ้าเราถูกโจรจับ ขวัญหนีดีฝ่อมันมีอะไรต่างกันเล่า? มันก็น่าสงสารเหมือนกับพวกสัตว์อย่างเดียวกันฆ่าไก่สักตัวหนึ่ง ฝูงไก่ที่เหลือก็กลัวลาน ฆ่าหมูสักตัวหนึ่ง หมูที่เหลือก็ไม่ยอมกินอาหาร ถ้าพวกเราถูกโจรมันขังทั้งบ้านก็จะตกใจกลัวหรือหากมีใครตายลง ญาติมิตรของเราร้องไห้ที่ต้องตายจากกันมันก็ไม่ต่างกันใช่ไหม? ให้คิดถึงทุกชีวิตตอนที่ถูกฆ่า เสียงร้องจะโหยหวน หวังจะได้รอดชีวิตมา แม้นเลือดจะหยุดหยด ลมหายใจจะขาดลง แต่เสียงร้องจะยังไม่หยุดลงทันที เหมือนกับพวกเรายามต้องโทษประหาร ก็หวังที่ให้เทพเจ้าช่วยเหลือให้พระคุ้มครองจิตวิญญาณกำลังแยกจากกัน ในเสี้ยววินาทีนั้นก็ยังหวัที่จะรอดชีวิตสิ่งเหล่านี้จะมีอะไรแตกต่างกันไหม? ถ้าหากคนกินเนื้อพูดว่าสัตว์มันพูดไม่ได้ ถ้าเช่นนั้น พวกใบ้ก็น่าจะถูกฆ่าด้วยใช่ไหม? ถ้าพูดว่าสัตว์มันมีบาปตกต่ำลง ถ้าเช่นนั้น พวกยากจนตกต่ำก็ควรฆ่าใช่ไหม? โอ้!มนุษย์หนอ? ชอบโทษว่ามันเป็นสัตว์ต่างประเภทต้องถูกกินตอนที่กินมันก็ถือว่าฉันเก่งกว่ามัน แต่ตอนที่จะชดใช้กรรมมันก็น่าจะพูดว่ามันถูกต้องฉันนั้นผิดเอง ควรรู้ไว้ว่า คนและสัตว์ก็เหมือนกันรักชีวิตกลัวตาย รักใคร่เพื่อนพ้อง ถ้าถูกฆ่าก็รู้สึกทุกข์ร้อนเหมือนกันที่ต่างกันก็คือ คนมีปัญญา สัตว์โง่เขลา คนพูดได้ สัตว์พูดไม่ได้คนเก่งกว่าสัตว์ เช่นนี้ เป็นต้น คนถ้าหากไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถป้องกันตัวได้ ถ้าพูดไม่ได้ก็บอกกันไม่ได้ ถ้าหากเทียบพละกำลังกันถ้าน้อยกว่าเรา ก็จะถือว่าแตกต่างกันอย่างนั้นหรือ? ก็ควรถูกฆ่าเอามากินใช่ไหม? พูดแบบนี้ ไม่มีเหตุผล ผิดคุณธรรม แต่คนก็พูดออกมาได้!

ชาวโลกเมื่อประสพภัยจวนตัว ไม่มีใครที่ไม่ร้องขอให้ช่วยชีวิต จะหยุดต่อเมื่อตามองไม่เห็น ถ้าได้รับอันตรายจากมีดหรือปืนหรือพวกโจรผู้ร้าย จะไม่ตัวสั่นขวัญผวาหรือ ถ้าหากพบว่าโจรมันใจอ่อนลง ก็อดไม่ได้จะดีใจ แต่ก็ตกใจ เกิดบังเอิญมีคนช่วยเหลือชีวิตรอดมาได้ ก็จะรู้สึกขอบคุณจนโศกสะอื้น จดจำบุญคุณไม่ลืมจนวันตาย แต่ถ้าจับสัตว์มาได้ ความสมเพชเวทนาต่างๆ จนกระทั่งเสียงร้องอันโหยหวน ก็เหมือนกับไม่ได้ยินไม่ได้ฟังเลย น่าสมเพชคนพวกนี้ เมื่อถูกยุงกัดก็เกิดรำคาญแต่สัตว์ที่อยู่บนเขียงนั้น ก็ไม่เวทนาสงสาร แต่พอปวดหลังปวดตาเข้าหน่อย ก็รีบหาหมอหายาหรือได้รับบาดเจ็บจากมีด เข็ม หรือไฟลวก ก้ร้องโอดโอย ขอความช่วยเหลือ รักตัวสงวนชีวิตถึงเพียงนี้แล้วทำไมต่อสัตว์ กลับไม่ให้ความเวทนาสงสารบ้าง ฆ่าแกงได้ตามอำเภอใจเรา จะไม่พูดถึงกฎแห่งกรรม จะไม่พูดถึงการห้ามฆ่าสัตว์ของพุทธศาสนา เราพูดกฎแห่งกรรมรักตนเอง แต่ไม่รู้ไม่มีจิตใจของความรักสัตว์ ความไม่มีเมตตาอารีย์และอภัยเช่นนี้ รู้แต่ผลประโยชน์ส่วนตนเห็นแก่ตัวที่สุดสุภาพบุรุษผู้ที่รักศักดิ์ศรีของตนเองอยู่บ้าง ก็ไม่ควรประพฤติแบบนี้ผู้คนหากอยู่ในสภาพที่โง่ากว่าหรืออ่อนแอกว่า ขณะนั้นจิตใจก็อยากให้มีคนสงสาร ถึงแม้โจรจะเหี้ยมโหด เสือ หมาป่า จะโง่เขล่าคนก็ยังหวังว่าในตอนนั้น ในเวลานั้น ก็เปลี่ยนสภาพไปอีกแบบหนึ่งไม่ยอมให้ความสงสารแก่ผู้ที่อ่อนแอกว่าตนล่ะ! น่าหัวเราะคนเราที่กลัวคนดุร้าย แต่กลับไปรังแกคนที่ดีๆ ใจในก็เกิดการดูหมิ่นและรังแกคนดี ตลอดชีวิตที่ชอบรังแกคนดีๆ แต่กลัวคนดุร้าย มักไม่ค่อยรู้สึกตัว และไม่มีปัญญาไปปราบปรามคนดุร้าย ก็จับคนดีไปรังแกแทน วิธีที่ใช้กำลังที่เหนือกว่าไปรังแกคนที่อ่อนแอกว่า หรืออาศัยจำนวนคนที่มากกว่าไปรังแกคนที่จำนวนน้อยกว่า จิตใจที่เลวทรามชั่วช้าเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นบ่อเกิดของการสร้างบาปก่อเวร เราเริ่มสังเกตพวกมนุษย์จากจุดนี้ ว่าแตกต่างจากสัตว์หรือไม่ บางทีมนุษย์แย่กว่ามันด้วยซ้ำไป เป็นสิ่งน่าละอายใจของมนุษย์แท้ๆ ดังนั้นศาสดาเมื่อจะเริ่มสอนคน ก็จะเริ่มด้วยความเมตตาและให้อภัยเมตตาและให้อภัยก็คือ เอาตนเองไปเปรียบเสมือนผู้อื่น เมตตาต่อผู้คนและมีจิตใจรักสัตว์ไงล่ะ!

เมื่อไม่กี่ปีมานี้ มีข้อความที่ห้ามการฆ่าสัตว์ของสมาคม “อี่เก้ย” สาระสำคัญของข้อความนี้คือ เอาใจเราไปเปรียบใจสัตว์เพื่อน้ำใจอันดีงามที่ถูกปิดตายด้วยประตูเหล็ก บุรุษนิรนามพวกนี้ตั้งคำถามสิบข้อ ถามใจที่ถูกปิดด้วยประตูเหล็ก แรงดลใจของเขาใหญ่หลวงนัก เขาต้องการให้ประตูเหล็กเปิดออก จะได้เห็นใจอันงามอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้

1.ในสมัยสงคราม พวกเราต้องหนีภัยสงคราม อาศัยโชคดีที่สุดก็รอดชีวิตมา ถ้าหากในเวลานั้น ถูกศัตรูไล่ตามเข้ามาทุกๆ ระยะเมื่อรู้ว่าไม่มีโอกาสจะรอดแน่ จิตใจขณะนั้นไม่แตกตื่นผวาขึ้นมาบ้างหรือ ?



2.ในขณะนั้น ถ้าถูกจับได้ ลากเดินเหมือนลากหมูลากหมารู้แน่ว่าต้องถูกฆ่า จิตใจอยู่ในสภาพอะไร ? ไม่แตกกระเจิงหรอกหรือ ?




3. ในขณะนั้น ถ้าพบคู่ชีวิต กำลังถูกโจรเชือดเฉือนเลือดไหลเนื่องนอง จิตใจเราจะอยู่ในสภาพอย่างไร? ไม่ขวัญหนีดีฝ่อหรอกหรือ ?




4. ในขณะนั้น ถ้าพบว่าเพื่อฝูงญาติมิตร กำลังถูกโจรมัดหมดทางช่วยเหลือ จิตใจเราจะเป็นอย่างไร? จะไม่รู้สึกสงสารเจ็บปวดบ้างหรือ ?





5.ในขณะนั้น ถ้าเราถูกฆ่า กำลังถูกชำแหละ เสียงร้องเจ็บปวดโหยหวน ชีวิตยังไม่สิ้น อยากให้ตายโดยเร็ซ จิตใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร ? ไม่โกรธแค้นหรอกหรือ ?





6.ในขณะนั้น เราต้องถูกฆ่าแน่นอน เกิดมีโจรคนหนึ่งใจดีปล่อยเราไป จิตใจของเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่รู้สึกดีใจหรอกหรือ ?




 7. และแล้วมีอีกโจรหนึ่ง ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเข้ามาห้ามปรามไม่ให้ปล่อย ต้องการฆ่าเราลูกเดียว จิตใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร ไม่เคียดแค้นบ้างหรอกหรือ ?



8. อีกแบบหนึ่งคือ โจรทุกคนให้ปลดปล่อยนักโทษหมดผู้ถูกจับมาก็มีหวังรอดตายได้ แต่บังเอิญมีโจรอีกคนหนึ่งว่า พวกเรานั้นเกิดมามีเคราะห์กรรมควรฆ่าให้หมด ใจเราขณะนั้นเป็นอย่างไร? ไม่รู้สึกโกรธเคืองหรอกหรือ?



9.ในขณะนั้น คู่ชีวิตของเรากำลังเจ็บป่วยอยู่ ที่จริงควรปล่อยตัวเราไป แต่มีโจรหนึ่งคัดค้านพูดว่า ป่วยหนักอย่างนี้ รอดชีวิตฆ่าเสียดีกว่าเพื่อหมดปัญหา อยากรู้ว่าใจเราขณะนั้นไม่เคียดแค้นบ้างหรอกหรือ ?


10.อีกอย่างหนึ่ง ในบรรดาญาติมิตรเรา กว่าครึ่งเป็นเด็กอยู่ ที่จริงควรปล่อยไป แต่มีโจรหนึ่งคัดค้านขึ้น พูดว่า ชีวิตน้อยๆ อย่างนี้ ไม่ฆ่าก็ต้องตาย เอามาฆ่าแกงกินจะไม่อร่อยปากหรือ ? ใจเราขณะนั้นรู้สึกอย่างไร ? จะไม่เจ็บช้ำปวดร้าวหรอกหรือ ?



           เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาเรียกเราให้ถามใจเราเอง ด้วยข้อคิดต่างๆ ถามใจเราว่า เพื่อปากท้องของเรา ไปเชือดเฉือนจับแกงพวกสัตว์ พวกกุ้ง หอย ปู ปลา เมื่อถูกจับมาอยู่เคียงข้างหม้อน้ำร้อยมันต้องเจ็บปวดแสนสาหัส อีกไม่นานมันก็ต้องจากคู่ครอง ญาติมิตรต้องจบชีวิตลงแสนทรมาน ปากก็พูดไม่ได้ ดิ้นรนรอตาย เทียบสภาพต่างๆ ที่ตนถูกโจรจับปล้นในขณะนั้น และความนึกคิดในเวลานั้นจะมีอะไรแตกต่างกัน เอาใจเราไปใส่ใจเขา เอาใจเขามาใส่ใจเรากับคำพูดของข้าที่ว่า บัเอิญเจอะโจรปล้นฆ่าตายเสียเก้าคน รอดตายมาได้หนึ่งคน จากการปลดปล่อย แต่เกิดมีโจรหนึ่งขัดขวาง ในที่สุดก็ต้องถูกฆ่า สภาพต่างๆที่เกิดขึ้น นึกคิดดูว่าเหมือนกับตอนนี้หรือไม่?

สุดท้ายนี้ขอพูดว่าพวกเราทุกคน ภาวนาห้ามฆ่าสัตว์ ไม่ใช่ขอบุญ ไม่ใช่หลีกเลี่ยงภัย คือเพื่อตัวเองรู้เจ็บกลัวตาย ใจนี้ยากที่จะปกปิด พูดแทนสัตว์ ให้เปรียบเทียบตัวเรา คิดไปคิดมาไม่อาจทนได้ ใจนี้ทำไม่ได้จริงๆ ใจอันประเสริฐของเรานี้ ควรตื่นจากภวังค์ได้แล้ว

4. ถ้าหากชาวโลกยังไม่ทำใจให้งดฆ่าสัตว์ได้ ก็ควรจะพิจารณาดูสัตว์ที่ถูกปล่อยรอดชีวิตกมาได้ ก็เหมือนกับตัวเองสามารถรอดชีวิตมาได้ ก็ดุจเช่นเดียวกับสรรพสัตว์ที่ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ

หากเป็นไปได้วันหนึ่งๆ 24 ชั่วโมง คิดแต่จะปล่อยชีวิต โดยไม่คิดลังเล อย่าให้สัตว์ต้องถูกขังนานจนทนไม่ไหว อย่าได้ไหว้วานผู้อื่น เดี๋ยวจะได้รับอันตราย และอย่าได้กำหนดวันเวลา เพราะจะมีผู้คอยดักจับสัตว์ และอย่าได้กำหนดสถานที่ เพราะมีคนคอยสืบรู้ไปคอยดักจับ เอาเป็นว่าเมื่อตาได้พบเห็น ก็ซื้อปล่อยทันที ปล่อยยังที่ที่เปลี่ยวยิ่งไกลยิ่งดี นานๆ เข้า ใจที่อยากฆ่าสัตว์ก็จะสูญหายไปโอกาสเกิดของสัตว์ก็มากขึ้น ทุกชีวิตอยู่อย่างสันติ ไม่เพียงแต่ในโลกนี้เท่านั้น แม้แต่ทุกตารางนิ้วของภายในของเรา โดยอย่าคิดว่าฆ่าชีวิตเพียงเล็กๆ แล้วจะไม่เป็นไร อย่าคิดว่าการปล่อยชีวิตน้อยๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร อย่าคิดว่ายุ่งยากลำบาก จงคิดถึงแต่กุศลท่าเดียว และอย่าเป็นเพราะราคาสูง เลยละทิ้งการสร้างกุศล ควรรู้ไว้ว่าชีวิตหนึ่งก็ไม่ใช่น้อย แม้สรรพสัตว์ชีวิตก็ไม่ใช่มาก แม้มดยุงชีวิตก็ไม่ใช่เล็ก วัวควายก็ไม่ใช่ชีวิตใหญ่ เงินเหรียญเดียวก็ไม่พอเพียง แม้เงินหมื่นแสนก็ไม่ใช่มาก ขอเพียงจิตใจตนเองมีจิตตั้งมั่นแน่วแน่ เราควรตระหนักถึงชีวิตอันละเอียดอ่อน ย่อมถูกฆ่าได้ง่ายขึ้น ดังนั้น เมื่อตนเองงดฆ่าสัตว์แล้วยังต้องใช้วาจาสุภาพมาตักเตือนเพื่อนฝูงพี่น้อง ทำให้ทุกคนมีจิตเวทนา ก็จะเป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ โดยใช้ปากเท่านั้น

ผู้คนมักพูดว่า ใจดีก็พอแล้ว ทำไมต้องกินเจอีกเล่า? อยากถามว่าฆ่ามันแล้วกินเนื้อของมัน ภายใต้ฟ้าดินนี้ยังมีใครโหดเหี้ยมอำมหิตเกินกว่านี้อีกบ้างไหม? แล้วใจดีที่แท้อยู่ที่ไหนกัน? โดยปกติใจที่ทนดูไม่ได้นั้นใครๆก็มีอยู่ ดังนั้นเมื่อใครเห็นผู้ร้ายมือสังหารแน่นอนทีเดียวเราต้องเกลียดเขาเป็นพิเศษ แต่ว่าเมื่อแลเห็นก้อนเนื้อในมือสังหาร ก็ทำให้น้ำลายหกอยากจะกินขึ้นมาแล้ว แล้วก็พากันพูดว่าชีวิตคนเรามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือคิดแต่ว่าจะเอาบาปกรรมป้ายให้เขาไป ข้าขอเพียงแต่อร่อยปากอิ่มท้องก็พอแล้ว ทำไมไม่คิดว่าผู้ซื้อถ้าเลิกกินเนื้อแล้ว ผู้ขายก็ย่อมจะหยุดฆ่าลงเอง ควรจะรู้ด้วยว่าฟ้าดินได้บันดาลให้อาหารแก่คนนั้น มีทั้งข้างต่างๆ ผลไม้และผักทั้งบนบกและในน้ำ ก็มากเกินพอ มนุษย์ก็ยังสามารถหาวิธีต่างๆในการปรุงแต่งรสได้อีก มากเกินพอเสียด้วยซ้ำ ทำไมยังต้องฆ่าแกงสัตว์ที่มีเลือดเนื้อเช่นเรา ซึ่งมีชีวิตที่มีความรู้สึกอย่างเดียวกันจับมากินเพื่อความอร่อยปากชั่วประเดี๋ยวเดียว เพียงวางช้อนส้อมลงรสชาติก็หมดไป แต่บาปกรรมนั้นคงอยู่ ซึ่งไม่ควรกำผิดแบบนี้เลย ผู้คนเสียเงินเป็นหมื่นเพราะรสชาติ เพียงขยับนิ้วหลายพันชีวิตก็จบลงหากเอาอาหารเจมาแทนเนื้อ ก็จะแทนการตายได้มาก ผลได้กับผลเสียนี้ ไม่อาจคำนวณได้ถูกต้องเลย!

ถ้าหากกินเจกันจริงๆ ใจของเราก็จะมีความสงบสุขอย่างไร้ขอบเขต ทั้งยังคุณประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง ไม่กี่ปีมานี้แต่ละประเทศมีผู้หันมานิยมบริโภคกันมาก สาเหตุเนื่องมาจากวิทยาการก้าวหน้า มีการค้นคว้าคุณค่าในการบริโภคอาหารเจ กับอันตรายที่เกิดจากการาบริโภคเนื้อสัตว์ ซึ่งมีหลักฐานที่จะพิสูจน้ได้และมีข่าวร้ายต่างๆ ที่จะแจ้งให้ทราบ ชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมรักและหวงแหน ดังนั้น การกินอาหารเจเริ่มถือเป็นเรื่องธรรมดาความนิยมการกินอาหารเจนี้ที่ประเทศอเมริกันตื่นตัวมากที่สุด การกินอาหารเจนี้มีการอธิบายและแสดงความเห็น ถึงแม้จะไม่เด็ดขาดแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยการบริโภค ไปในแง่ดีของสังคมถึงแม้ชีวิตจะต้องดับลง เราก็ต้องยึดหลักไว้โดยไม่ยอมบริโภคเนื้อสัตว์และก็ไม่ได้ขึ้นกับที่ว่าจะถูกหลักอนามัยหรือไม่ถูกหลักอนามัย มาเป็นข้ออ้างในการบริโภคเนื้อสัตว์หรือไม่ ผิว่าการวิจารณ์อย่างหนักแน่นบริโภคผังกมีประโยชน์อย่างแน่นอนเช่นกัน ดังนั้น การห้ามฆ่าสัตว์ก็มีพื้นฐานที่ได้จัดตั้งขึ้นแล้ว เสียงโศกเศร้าโหยหวนของสัตว์ที่ถูกฆ่าได้สะท้านสะเทือนจิตคนได้ง่ายที่สุด ในหลักวิทยาศาสตร์ได้มีการพิสูจน์ถึงผลร้ายในการบริโภคเนื้อสัตว์

ข้าใคร่นำเอา “พิษ”ต่างๆในการบริโภคเนื้อสัตว์มาอธิบายเป็นข้อๆ ดังนี้

ข้อที่ 1. 

นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส นายชารส์ ค้นพบว่าภายในเนื้อของสัตว์ มีสารพิษอยู่ชนิดหนึ่ง ตอนที่สัตว์ได้รับความเจ็บปวดทรมาน ก็จะเพิ่มสารพิษมากขึ้นเป็นลำดับ แล้วก็จะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย ถ้าหากเรากินเนื้อชนิดนี้แล้ว ก็จะได้รับอันตรายอย่างมาก มีนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ชื่อว่า ไอด์ มาไคร้ กล่าวว่า “ตอนที่ร่างกายคนเรามีอารมณ์เปลี่ยนแปลงขนาดหนักอยู่นั้น ก็จะมีสารหลายชนิดระบายออกจากร่างกาย เช่น ตอนที่มีโทสะโกรธอยู่นั้น เหงี่อที่ไหลออกมา ก็จะมีสีแตกต่างจากเหงื่อที่ไหลตอนที่ร่างกายกำลังโศเศร้า แม้แต่ลมหายใจที่เป่าออกจากร่างกายก็จะมีสารต่างๆ ออกมาด้วย เขาเองได้ทดลองเป่าลมหายใจเข้าไปในหลอดแก้วที่แช่เย็น แล้วสังเกตดูพบว่า ตอนที่เขามีร่างกายปกติก็จะมีหยดน้ำที่ปราศจากสี แต่ตอนที่กำลังโกรธจัดๆ หยดน้ำที่ได้ก็ไม่เหมือนกัน หลังจากเป่าลมเข้าไปหลอดแก้วได้ห้านาที หยดน้ำที่ได้จะมีสีและสารขุ่นๆ นั่นก็แสดงว่า ตอนที่ร่างกายมีอารมณ์โกรธก็จะมีสารบางชนิดเกิดขึ้น เขาก็เลยใช้วิธีดังกล่าว ทดลองสภาพของจิตต่างๆ ก็พบว่า ตอนที่จิตใจโกรธก็จะมีสารสีฝ้ามัว ในขณะเศร้าเสียใจร่างกายจะขับสารสีเทาขาว และขณะเจ็บแค้น ร่างกายจะขับสีเขียวไผ่ออกมา ต่อมาเขาก็ได้ทดลองต่อไป พบว่า ถ้าเอาสารฝ้ามัวที่อารมณ์โกรธของนาย ก. ฉีดเข้าไปให้นาย ข. หรือสัตว์ทดลอง นาย ข . จะมีอารมณ์โกรธขึ้นมาแน่นอน สัตว์ก็จะแสดงอารมณ์โกรธขึ้นมาทันทีเช่นกัน เขาเอาสารที่เป่าออกจากคนที่มีอารมณ์เศร้าเสียใจ ฉีดเข้าไปให้หนูและหมู ภายในไม่กี่นาทีสัตว์ทดลองก็ตายลง จากการทดลองต่างๆ พอสรุปได้ดังนี้ ถ้าร่างกายมีอารมณ์เคียดแค้น จะสูญเสียพลังงานไปมากทีเดียว ถ้าสารพิษที่ปะปนกันยิ่งมีหลายชนิด พิษร้ายก็ยิ่งมาก ในขณะที่ทารกกำลังดูดนมมารดา ประเหมาะมารดาเกิดมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงภายหลังดูดนม ทารกน้อยจะเกิดอาการไม่สบาย เจ็บป่วยลง อันนี้ก็สืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ร่างกายก็จะปล่อยพิษร้ายออกมาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุฉะนี้ เนื้อสัตว์ที่เรารับประทานเข้าไปในท้องทุกๆวัน ซึ่งมีพิษร้ายอย่างแน่นอน สัตว์ย่อมเกิดความเคียดแค้นและเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ย่อมมีสารพิษขึ้นและเจือปนอยู่ในเนื้ออย่างแน่นอน กินเข้าไปแล้วจะมีอะไรบำรุงอีกหรือ?อันตรายจริงๆ

ข้อที่ 2. 

ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์การแพทย์ ค้นพบว่า ภายใต้กล้องจิลทรรศน์ที่ส่องลงบนเนื้อสัตว์ จะพบจุลชีพชนิดต่างๆจุลชีพร้ายเหล่านี้เมื่อเข้าไปในร่างกาย ก็มีผลไม่น้อยต่อร่างกายอย่างเบาๆ ก็ทำให้เกิดความเจ็บป่วย อย่างหนักๆก็ถึงแก่ชีวิต ในเนื้อหมูเนื้อวัวมีเชื้อหนอนเป็นเส้นๆ อยู่ไม่น้อย ดังนั้นจาการสำรวจของประเทศสหัฐอเมริกา เชื้อหนอนเส้นของคนที่เป็น ได้ติดมาจากเนื้อหมูและเนื้อวัว 90% และยังตรวจพบว่าวัวควายที่เป็นโรคปอดมีกว่าครึ่ง และสาเหตุคนเป็นโรคปอดก็ติดมาจากเนื้อวัวเป็นส่วนใหญ่ในโรคท้องเสีย (อหิวาต์) เชื้อนี้ได้รับจากเนื้อหมู ในประเทศอังกฤษมีโรคลม อาการปวดมาก สมัยก่อนคิดว่ามาจากพิษเหล้า แต่ปัจจุบันพบแล้วว่ามาจากบริโภคเนื้อสัตว์มาก และยังพบอีกว่า พวกบริโภคเนื้อมักเป็นโรคเบาหวาน การสูบฉีดของเลือดไม่ดี เป็นผงทำให้สมองผิดปกติ ซึ่งทำให้เกิดการช็อคขึ้น เป็นลมหมดสติไป การบริโภคเนื้อได้ลดสารต่อต้านโรคมะเร็ง จึงเกิดเป็นมะเร็งกันมาก บริโภคเนื้อดื่มเหล้ามากไป เกิดโรคไตอักเสบได้ง่าย เอาเถอะ! ข้าจะไม่พูดเรื่องการแพทย์กับท่านมากนัก ข้าเพียงแต่อยากให้พวกท่านได้รู้ว่าปัจจุบันมีความจริงมีหลักฐานที่พิสูจน์กันได้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการบริโภคเนื้อมีโทษอย่างแน่นอน มิใช่พูดลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานในฤดูร้อนเนื้อก็เน่าเสียได้ง่าย เนื้อกรองก็เน่าเสียง่ายเช่นกัน พูดไปพูดมาไม่พ้นกินเนื้อมีอันตรายมาก ซึ่งเป็นเรื่องพื้นๆ ไม่จำเป็นต้องพูดมาก เนื้อที่เกิดหนอนขึ้นเป็นประจำนี้ ก็เข้าไปในปากของเราทุกๆวัน ระวังเถอะ สักวันหนึ่งก็จะเจอดีขึ้น น่ากลัวจริงๆ! ข้าจะพูดเกี่ยวกับการกินเจอีกครั้งหนึ่ง การกินการดื่มมีปัจจัยที่สำคัญคือ เพื่อการดำรงชีวิต ดังนั้นอาหารที่เรารับประทาน จำเป็นต้องสรรพหาสิ่งที่มีคุณค่าด้านพลังงาน สิ่งควรรู้ก็คือพลังงานที่ได้เป็นพลังงานจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานความร้อน ภายใต้ฟ้าดินนี้ก็มีเพียงธัญพืชที่เติบโตภายใต้แสงอาทิตย์สามารถดูดซึมพลังงานได้มากที่สุด และสามารถให้พลังได้สูงสุดก็คือพืชพวกให้เมล็ดถ้าหากเราแยกธาตุต่างๆ จากเนื้อสัตว์ เราจะพบการดอะมิโน แลตโต๊ดและเกลือแร่ต่างๆ พวกพืชที่ให้เมล็ด เช่น ข้าว ข้างสาลี และถั่วต่างๆ ก็มีธาตุต่างๆ เหล่านี้อยู่ครบถ้วน แถมยังมีกรดอะมิโนซึ่งเป็นพวกโปรตี ถึง 40% มากกว่าในเนื้อสัตว์เสียอีกซึ่งมีเพียง 20 % เท่านั้น โปรตีนในเนื้อสัตว์ย่อยลำบาก เนื่องจากโครงสร้างประกอบการขึ้นเป็นเนื้อของสัตว์ และมีคุณค่าด้วยกว่าในการให้ความเจริญเติบโตแก่ร่างกาย เมื่อเปรียบเทียบความใหม่กว่า ดีเลว ระหว่างโปรตีนของพืชกับเนื้อสัตว์แล้ว ท่านก็จะเห็นได้อย่างกระจ่างชัด! อาหารการกินของเราที่จริงควรเลือกจากใหม่สดมิใช่หรือ ภายใต้ฟ้าดินนี้ การเจริญเติบโตของธัญพืชอาศัยแสงอาทิตย์ ฝนฟ้าซึ่งบริบูรณ์พอในการเลี้ยงชีวิต ไม่จำเป็นต้องไปกินของเก่าที่เน่าเปื่อยง่าย และไร้คุณค่าอย่างเนื้อสัตว์นั้นเลย! ถ้าหากเปรียบเทียบการกินเจกับกินเนื้อ แล้วละก็ เราจะเห็นความแตกต่างได้หลาย ๆอย่าง เช่น คนกินเจจะมีอายุยืนยาวกว่าพวกกินเนื้อสัตว์จะอ่อนแอง่าย การบริโภคเนื้อสัตว์ก่อให้เกิดกามราคะมากกว่าการกินเจ พวกกินเจจะมีประสาทที่สดชื่น การบริโภคเนื้อประสาทจะขุ่นเครียดผู้กินเจจะมีสมองที่ฉับไว ส่วนผู้บริโภคเนื้อสมองจะทื่อทึบ กินเจจะมีพลังวังชายาวนาน เลือดจะสดใส ทำให้มีความต้านทานโรคสูง ผู้บริโภคเนื้อ พลังวังชาจะน้อยและสั้นเลือดจะขุ่นขันและทำให้เจ็บป่วยง่าย ในการแข่งขันกีฬานานาชาติผู้ที่ได้รับชัยชนะส่วนใหญ่ จะเป็นผู้บริโภคพืชผัก ซึ่งก็เป็นหลักฐานยืนยันได้ เราจะพบว่า ผู้ทีสามารถตั้งตัวได้ ไม่ว่าส่วนบุคคลหรือส่วนรวม ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ไม่มีเลือดร้อน อารมณ์รุนแรงคนโบราณกล่าวได้ดีว่า “ผู้บริโภคเนื้อคนชั้นต่ำ” ถ้าหากเราจะเป็นคนที่มีสง่าราศีดีละก็ ต้องขจัดการบริโภคเนื้อเสีย หันมากินเจมันไม่เพียงแต่มีประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเท่านั้น มันยังก่อให้เกิดสันติสุขอันไร้ขอบเขตของจิตใจด้วย 

5.ตอนนี้เป็นบทสุดท้ายแล้ว ข้าเป็นพุทธศาสนิกชน ข้าใคร่ขอวิจารณ์เกี่ยวกับศีลข้อห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มิใช่มีเพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น มันเป็นหลังข้อสำคัญที่มีอยู่ในธรรมของหลักศาสนาอื่นทั่วๆไป เป็นหลักปฏิบัติ ที่สำคัญของมนุษย์ธรรมด้วย

           ศาสนาพุทธมีข้อห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีเหตุผลที่เคร่งครัด ไม่ว่า ศีล 5 ศีล 10 หรือศีล 227 หรือศีลโพธิสัตว์ ต่างก็มีศีลห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นข้อแรกด้วยกันทั้งนั้น ถ้าพร้อมที่จะก่อกุศล ต้องเริ่มจากศีลข้อนี้ อันว่าผู้คนในโลกนี้ทุกๆ คนก็ล้วนแล้วแต่บริโภคเนื้อกันทั้งนั้น และก็ไม่ได้รับโทษเพิ่มอะไรเลย จะไปกลังอะไรกัน? เฮ้อ! คนที่มีใจแบบนี้ ก็ไม่ต้องไปถามอะไรเขาอีกแล้ว ลองพิจารณาจากพื้นจิตของพวกเขา ถ้าหากปล่อยปะละเลยศีลข้อนี้ เรื่องเกี่ยวกับชีวิตก็ไม่อยู่ในสายตาเช่นกัน แน่นอนเราต้องเข้าใจ การห้ามฆ่าและการคุ้มครอง ซึ่งต้องมีอยู่ในทุกตารางนิ้วของจิตใจ โดยไม่ต้องคำนึงว่าข้างนอกจะมีกฎการห้ามฆ่าหรือไม่? หากไม่ถือโอกาสนี้ทดสอบพื้นจิตตน ให้แผ่เมตตาจิตออกไปละก็ สักวันหนึ่งโอกาสนี้จะสูญไปเมื่อถึงเวลานั้น หน้าตาเปลี่ยนไป(เกิดเป็นสัตว์) แม้จะมีร่างกายก็จะทำอะไรได้? แม้จะมีหูมีตาก็ไม่สามารถจะเห็นจะได้ยินได้ แม้มีความในใจก็ไม่สามารถจะเปิดเผยออกมาได้ ท่านทั้งหลาย! อย่าคิดว่ามีอายุยืนได้ถึงร้อยปี ชั่วพริบตาก็จะเปลี่ยนชาติกำเนิด คิดแล้วใจหาย! ทุกคนรู้เพียงว่าชาตินี้ข้าเกิดมาเป็นคน หารู้ไม่ว่าชาติที่แล้วมาได้เกิดเป็นสัตว์อื่นประเภทไหนบ้าง แล้วชาติต่อไปข้างหน้าจะไปเกิดเป็นอะไรอีเล่า? ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงกล่าว “สัตว์ที่ถูกฆ่าตายในชาตินี้ก็เป็นญาติมิตรของเข้าในชาติก่อน” กล่าวอย่างเชือดเฉือนที่สุดมิได้กล่าวเท็จ พุทธพจน์ที่ว่า “คนมีความคิดความจำดุจผืนนา กุศลและอกุศลที่เกิดขึ้นเป็นเมล็ดพันธุ์ หากมีจิตคิดฆ่าเกิดขึ้น เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิดความจำกลายเป็นเคราะห์กรรมที่ต้องเวียนเกิดเวียนตายไปตลอด” สรรพสัตว์ที่ถูกฆ่า ก็จะเกิดความเคียดแค้นขึ้น ก็จะถูกฝังเข้าไปในผืนนาแห่งความคิดความจำนี้ กลายเป็นเวรกรรมที่เคียดแค้นไปตลอด ไม่มีสิ้นสุด ชาติแล้วชาติเล่า ด้วยกฎแห่งกรรมนี้ จะตามล้างตามสนองซึ่งกันและกัน โดยไม่มีเวลาที่จะสิ้นสุดลง

พระแห่งสระปทุมกล่าวว่า “ข้าร้องต่อผู้คนว่าไม่กล้าบังคังเจ้ากินเจ แต่จะเตือนเจ้าห้ามฆ่าสัตว์ ครอบครัวที่ไม่ฆ่าสัตว์ เทวดาคุ้มครอง เคราะห์กรรมลบล้างไปอายุยืนยาว ลูกหลายกตัญญู ทุกสิ่งเป็นสิริมงคล ซึ่งไม่อาจกล่าวได้หมด คำพูดที่กล่าวมานี้ไม่ใช่เอาใจคน ความจริงเป็นกฎแห่งกรรมอะไรคือกฎแห่งกรรม ข้าจะกล่าวเป็นการปิดท้ายรายการนี้! เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผลของกรรมเกี่ยวข้อง การเกิดการตายในชีวิตของคนเรานั้น บุญมากหรือบุญน้อยเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมลง อยู่ในประเทศหนึ่งหรือที่ที่หนึ่งที่เจริญหรือเสื่อมลง มิใช่เกิดขึ้นโดยการบังเอิญ และไม่ใช่เกิดจากการว่างเปล่า ดั่งคนโบราณกล่าวว่าสั่งสมบุญกุศลเป็นสิริมงคลเหลือล้นสั่งสมอกุศลรับเคราะห์กรรมเหลือล้น คำว่า สั่งสม กับเหลือล้นก็เป็นธรรมะของกฎแห่งกรรมแล้ว ธรรมข้อนี้กับกฎการคำรวณเหมือนกัน หนึ่งบวกหนึ่งต้องเป็นสอง สามคูณสามย่อมได้เก้า ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่แน่นอน เมื่อมีเหตุ ดังนี้ ก็ต้องมีผลดังนี้ เนื่องจากเหตุที่มีอยู่ผลที่ได้ย่อมปรากฎปริมาณของผลที่ได้ย่อมสมดุลย์กับเหตุที่มีอยู่ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ของกฎแห่งกรรมนี้หวังว่าผู้คนคงเข้าใจเหตุและผลทีสับสนก็ไม่อาจเข้าใจได้ เหตุอันหนึ่งที่ปลูกลงไปไว้แล้วเมื่อถึงเวลาหากไม่สนองตอบมาให้นั้น ย่อมต้องมีเหตุกาณ์อื่นสร้างไว้ปะปนเข้าไป แต่ก็ไม่พ้น การสนองตอบให้เช่นเดียวกัน ทำให้เหตุผลอันนี้ไม่ใช่เหตุผลอันเดียวกัน แต่กลายเป็นเหตุและผลหลายๆอันสับสนกันเท่านั้นแหละ การเปลี่ยนแปลงสับสนร้อยเปดของคนในโลกนี้ กับการเปลี่ยนแปลงร้อยแปดของใจคนนั้น มีการเกี่ยวพันสนองตอบซึ่งกันและกัน ดังนั้นในช่องท่างเกิดทั้งหกช่องทางนั้นจึงมีสภาพต่างๆปรากฎขึ้น เนื่องจากเหตุการณ์ความนึกคิดของจิตใจคนนั้น ไม่เคยหยุดยั้งเลย จึงเกิดมีผลดีและผลร้ายสนองตอบซึ่งกันและกัน ดังนั้น กรรมดีหรือกรรมร้ายที่สนองตอบก่อนหลัง ล้วนมาจากเหตุการณ์กระทำที่เปี่ยนแปลงจะเปลี่ยนตามไปด้วย เหตุของกรรมเมื่อมีโอกาสเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ผลการตอบสนองก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ถึงแม้การเปลี่ยนแปลงนั้นจะมีการสับสนแต่เหตุและผลเปรียบเสมือนเจ้าหนี้มาทวงหนี้ ฝ่ายใดมีกำลังกว่าก็ดึงเอาไปก่อนเท่านั้น ดังคำที่ว่า ชั่วหรือดีย่อมตอบสนองในที่สุดเพียงแต่จะเร็วหรือช้าเท่านั้น เหมือนปลูกแตงย่อมได้แตง ปลูกถั่วย่อมได้ถั่วเป็นสิ่งแน่แท้ที่สุด

เนื่องจากพระพุทธเจ้ามีทิพย์เนตร ส่องได้ทั่วทุกทิศแจ้งทะลุทั้งสามโลก ไม่มีสิ่งบดบัง จึงกล่าวว่าการตอบสนองตามกฎแห่งกรรม ล้วนยึดหลักที่แท้จริง เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงแลเห็นอย่างนั้น เนื่องจากได้หลุดพ้นจากกาลสมัย ไกลสุดถึงความเป็นมาของเคราะห์กรรม เห็นได้ชัดเจนเหมือนเราแลเห็นสิ่งของต่าง ๆ ต่อหน้าต่อตา แต่ตาเนื้อของเราเห็นเพียงสิ่งของที่วางอยู่ต่อหน้าเท่านั้นซึ่งไม่สามารถเห็นเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลา ตาเนื้อแลเห็นสิ่งของไม่ว่าจะชัดเจนเพียงไร ถ้ามีกระดาษมาคั่นกลาง ก็ไม่สามารถเห็นของได้อีกแล้ว อย่าว่าเหตุผลที่อยู่เหนือกาลเวลาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื่องจากสรรพสัตว์อยู่ในวัฎสงสาร เวียนตายเวียนเกิดติดต่อกันไปความจำกัดก็เปลี่ยนแปลงไป ขันธ์ห้าบดบัง เหมือนกระดาษบังตารู้แต่ชาตินี้ชาติที่แล้วหารู้ไม่ เราควารรู้ว่า ปัญญากับความรู้นั้นต่างกันปัญญาเกิดจากบรรลุฉับพลัน ฉายส่องไม่มีบดบัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ไม่มีที่ไม่รู้เรื่องของความรู้จะเป็นเรื่องที่มีขอบเขตเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถจะตรึกตรอง นึกคิด ซึ่งคนธรราดาสามารถมองเห็น จับต้องได้และคิดถึงได้ ปัจจุบันนี้ ความรู้ทั้งหลายนี้ เช่น วิทยาศาสตร์ วิชาปรัชญา เราเป็นพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาไม่มีข้อขัดแย้ง ยังต้องยินดีส่งเสริมด้วยซ้ำ!

ถ้าหากคิดจะเอาความรู้มาตำหนิพุทธศาสนา ตีคุณค่าของพุทธพจน์ หรือกล่าวร้ายต่อพระธรรมซึ่งไม่สมควรและไม่มีความสามารถด้วย พวกเราเข้าใจหลักของวิทยาศาสตร์ ซึ่งหนักไปทางด้านพิสูจน์ได้ จึงจะเชื่อถือแล้วเอาวิธีการอะไรพิสูจน์ล่ะ? ก็คงไม่พ้นอวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าไปพิสูจน์ใช่ไหม? วิธีพิสูจน์จะละเอียดแค่ไหน ก็ไม่พ้นจากอวัยวะทั้งห้านี้ ขอถามหน่อยเถอะว่า อวัยวะทั้งห้านี้เชื่อถือได้แค่ไหน? ตัวอย่างอุจจาระ คนจะรู้สึกเหม็นจนไม่อยากเข้าใกล้ แต่สุนัขสามารถกินได้ จะพบว่าลิ้นที่ใช้ชิมรสก็ไม่สามารถเป็นมาตรฐานได้แล้วรอยเท้าที่คนเดินผ่านไป สุนัขสามารถดมตามกลิ่นได้ แต่คนมีความสามารถไหม? ที่เหลืออีกมากมายก็เช่นเดียวกัน เมื่อมองดูแล้ว คำถามคำตอบของวิทยาศาสตร์ ก็ล้วนอาศัยอวัยวะทั้งห้าไปค้นคว้า จะมีความสามารถไปเสียทุกอย่าง ใครเชื่อก็บ้าละ? ถ้าเราถอยหลังมาพูดว่า เชื่อถือวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ามานั้นเป็นสิ่งที่แน่แท้ แต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล สภาพของคนนั้นเล็กจนไม่อาจเทียมกันได้ ยิ่งความคิดเห็นของที่มีมายิ่งมีขอบเขตจำกัดเหลือเกิน แถมด้วยความคิดเห็นอันจำกัดแค่นี้ยังยึดมั่นเชื่อถือไม่ได้ด้วย?

ฉะนั้นจึงต้องใช้ปํญญาธรรมจึงจะยืนยันได้และให้ความสว่างแจ้งถึงกฎเกณฑ์ของทุกอย่างในโลกที่เกิดขึ้นมา หากใช้เอาแต่ความรู้ จะทำไม่ได้แน่นอน ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ยอมเชื่อกฎแห่งกรรม ก็ยังคงยึดถือหลักของวิทยาศาสตร์ ที่ต้องพิสูจน์ได้จึงจะเชื่อ แต่ถ้าพูดถึงการพิสูจน์ ไม่ควรเพียงพิสูจน์โดยหูและตาเท่านั้น ควรจะเชื่อผลพิสูจน์จากส่วนรวมที่กว้างใหญ่ หลักฐานก็ควรเอาคำกล่าวอ้างของนักปราชญ์ ตั้งแต่โบราณจนถึงนักปราชญ์ปัจจุบันมาเป็นหลักฐานถึงจะถูกต้อง ตั้งแต่โบราณมามีหลักฐานมากมายก่ายกองให้เราได้เห็นถ้าหากยังเหลือข้อสงสัย ยังต้องรอให้ตนเองไปพิสูจน์ค้นพบแล้วจึงจะเชื่อ แม้จะมีหลักฐานยืนยันแล้วก็ยังมีข้อสงสัยไม่ยอมเชื่องั้นหรือ? พระอิ้งกวงกล่าวว่า “การสนองของกฎแห่งกรรม มีมากมายในคัมภีร์ น่าเสียดายที่นักปราชญ์ไม่ยึดถือเป็นเรื่องเกิดเรื่องตาย ดังนั้นการได้เห็นก็ถือว่าไม่เห็น

เพราะฉะนั้นผู้ที่มีพื้นบุญกุศลดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานจึงจะยอมเชื่อถือ ส่วนพวกที่มีบาปหนักถึงแม้มีหลักฐานก็ตาม ก็ยังไม่เชื่อถือ แต่จะเชื่อหรือไม่เป็นเรื่องแต่ละคน หลักฐานก็ยังเป็นหลักฐาน กรรมตามสนองเป็นของจริงที่แน่แท้ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แล้วไม่ยอมรับ แล้วจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ได้ ชาวบ้านส่วนใหญ่เห็นเป็นเรื่องยุ่งยากเฉพาะหน้าในที่สุดก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงผลกรรมที่ก่อไว้ได้ น่าอนาถจริงๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม